Untold Story “The Cartiers” Part XI

หนึ่งปีหลังจากความขัดแย้งครั้งใหญ่ของ Louis และ Jacques ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็ได้รับการฟื้นฟูใหม่ และ Jacques ได้รับการต้อนรับที่ปารีสอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในปี 1932 ร้านที่ปารีสกำลังสูญเสียชื่อเสียงไปมาก พร้อมกับความไม่มีเสถียรภาพของรัฐสภาในฝรั่งเศสต่อเนื่องนานหลายปี ก่อให้เกิดการจลาจลและนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นวิกฤตการณ์สำหรับธุรกิจเครื่องประดับของ CARTIER นอกจากนั้นตลาดไข่มุกธรรมชาติที่ CARTIER พึ่งพามาโดยตลอด ยังตกอยู่ภายใต้ความกดดันของไข่มุกเลี้ยงที่มีจำหน่ายในท้องตลาดเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเพื่อต่อสู้และจำแนกไข่มุกเลี้ยงจากไข่มุกธรรมชาติอย่างยุติธรรม ทาง CARTIER จึงพยายามประชาสัมพันธ์ถึงความแตกต่างพร้อมออกข้อเรียกร้องอื่นๆ เพื่อช่วยพยุงตลาดไข่มุกธรรมชาติไว้ ไม่ว่าจะเป็นการออกโฆษณาเพิ่มเติมหรือจากทางพนักงานขายเองก็ตาม ซึ่งเรื่องที่สำคัญคือทาง CARTIER มีการร้องขอให้ Mikimoto Kokichi ผู้บุกเบิกการเพาะเลี้ยงไข่มุกของญี่ปุ่น ควรติดฉลากไข่มุกว่าเป็นไข่มุกเลี้ยง  โดยทาง MIKIMOTO ยังคงยืนยันว่าไข่มุกของเขาคือการ "เพาะ" ไม่ใช่การเลี้ยง แต่อย่างไรก็ตามในท้ายสุดทาง MIKIMOTO ก็ต้องตัดสินใจที่จะติดฉลากไข่มุกของตนว่าเพาะเลี้ยงในเวลาต่อมา

 

mikimoto hero pic broadmoor jewelry company

 

แต่ถึงอย่างนั้นความเสียหายต่อการค้ามุกธรรมชาติก็เกิดขึ้นแล้ว ตลาดเครื่องประดับในช่วงทศวรรษที่ 1930 จึงเต็มไปด้วยไข่มุกเลี้ยง และผู้ซื้อเครื่องประดับส่วนใหญ่ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าไข่มุกแท้นั้นมาจากไข่มุกธรรมชาติ และไม่สนใจที่มาของไข่มุก แต่ CARTIER ยังคงปฏิเสธที่จะนำไข่มุกเลี้ยงมาใช้งาน ถึงแม้จะมีราคาที่ถูกกว่าท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยให้เหตุผลว่าไข่มุกเลี้ยงอาจมีขนาดใหญ่และมีรูปร่างสมบูรณ์ แต่ไม่ได้เป็นผลผลิตจากธรรมชาติ ซึ่งสำหรับ Cartier แล้วความไม่สมบูรณ์ ความแตกต่างของสี และความหายากของไข่มุกธรรมชาติคือสิ่งมีค่าสูงสุด อย่างไรก็ตามช่วงนี้ยังถือเป็นช่วงการกำเนิดนาฬิกาตั้งโต๊ะแบบพิเศษจาก Maurice Coüet และ René น้องชายของเขาที่ทำงานให้กับ Protégé Gaston Cusin กับสิทธิบัตรการออกแบบอันชาญฉลาดของ Cusin ในการสร้างนาฬิกาปริซึม ที่เป็นนาฬิกาปริศนาและเล่นบนภาพลวงตาเพื่อทำให้ผู้ชมประหลาดใจ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากกล้องปริซึมใต้น้ำ ที่ใช้โครงกระจกมองเหนือผิวน้ำและอาศัยการสะท้อน โดยเมื่อมองจากด้านหน้านาฬิกาจะสามารถบอกเวลาได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อมองจากด้านหลังนาฬิกาเรือนนี้ก็ดูจะไม่เหมือนนาฬิกาเลย และสำหรับแผนกนาฬิกาข้อมือ นาฬิการุ่น Tank แบบกันน้ำได้ก็ถูกสร้างขึ้นในช่วงนี้เช่นเดียวกัน 

 

MasterHorologistMauriceCouet3

 

ความสัมพันธ์ระหว่างสาขาลอนดอน กับราชวงศ์อังกฤษเริ่มกลับมาอีกครั้งในปี 1933 เมื่อองค์ราชินี Mary  ขอให้ดูแลเข็มกลัดคลิปอันล้ำค่าของ CARTIER ให้ และหลังจากที่ทาง CARTIER ดูแลให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทาง CARTIER จึงได้รับแจ้งถึงการเข้าเยี่ยมชมร้านที่นิวบอนด์สตรีท ซึ่งการมาเยือนขององค์ราชินีจะช่วยประชาสัมพันธ์ข้อเท็จจริงที่ว่าแม้ CARTIER จะเป็นบริษัทในฝรั่งเศส แต่สาขาในลอนดอนก็จ้างคนอังกฤษเข้ามาทำงานเช่นเดียวกัน นี่เป็นข้อความสำคัญที่จะสื่อในช่วงเวลา ที่มีการพิภาทเกี่ยวกับบริษัทในลอนดอน ที่จ้างแรงงานต่างชาติเข้ามาดูแลบริษัทในสหราชอาณาจักร การเสด็จเยือนร้านของ CARTIER ในปี 1933 ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับธุรกิจ Jacques พอใจมากแล้วกับการสนับสนุนจากองค์ราชินี ที่จะสะท้อนไปถึงราชวงศ์พระองค์อื่นๆ โดยต่อมาเจ้าชาย George พระราชโอรสองค์สุดท้องได้ขอให้ CARTIER สร้างแหวนแพลทตินัมไพลินแคชเมียร์ เจียระไนทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีน้ำหนักมากกว่า 10 กะรัต สำหรับแผนการขอสมรสกับเจ้าหญิงมารีนาแห่งกรีซในวันหยุดที่ยูโกสลาเวีย โดย CARTIER ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชลในภายหลังว่า “การเลือกของเจ้าชายในครั้งนี้จะทำให้แหวนไพลิน จะเป็นแหวนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับทุกการหมั้นหมายในปีนี้อย่างไม่ต้องสงสัย”

 

Screenshot 2565 11 19 at 12.01.27

 

ในช่วงนี้ CARTIER ถูกถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Wallis Simson หญิงอเมริกันที่แต่งงานแล้ว และรัชทายาทอาจมีความสัมพันธ์ด้วย ซึ่งทาง CARTIER ได้กล่าวเพียงว่า Mrs. Simson มีรสนิยมอันยอดเยี่ยมและน่าอัศจรรย์กับอัญมณีล้ำค่ามากมาย โดยสื่อของอังกฤษยังคงนิ่งเงียบจากคำแนะนำของทางราชวงศ์ แต่หลังจากที่กษัตริย์ George V สิ้นพระชนม์ในเดือนมกราคม 1936 และเจ้าชายแห่งเวลส์ทรงรอการขึ้นครองราชย์เพื่อเป็นกษัตริย์ Edward VIII เรื่องราวเหล่านี้ก็เริ่มกลับมามากขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เมื่อทั้งคู่ล่องเรือในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและเห็นว่า Wallis Simson สวมอัญมณีชิ้นพิเศษของ CARTIER ในขณะเดียวกันกับที่สถานการณ์ในนิวยอร์กที่ดีขึ้น เมื่อผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำลดลง และสังคมคาเฟ่ที่ประกอบด้วย "คนที่อู้ฟู่" ที่มักรวมตัวกันในร้านอาหารและคาเฟ่ที่ทันสมัย รวมถึงการสิ้นสุดของข้อห้ามการถ่ายภาพในปี 1933 และการเพิ่มขึ้นของการถ่ายภาพลงนิตยสาร พร้อมๆ กับที่ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองแห่งฮอลลีวูด ที่ภาพยนต์แบบมีบทพูดเข้ามาแทนที่ภาพยนตร์เงียบ รวมไปถึงแฟชั่นในการสวมใส่เครื่องประดับเสริมความงาม กำลังเพิ่มขึ้นเนื่องจากความเย้ายวนใจของฮอลลีวูดสู่บรรดาคุณผู้หญิงทั่วประเทศ

 

Screenshot 2565 11 06 at 21.36.03

 

ที่ในภาพยนตร์ขาวดำ อัญมณีจะแสดงออกมาได้ไม่ดีนัก แม้เพชรจะให้ความแวววาววิบวับ อย่างไรก็ตาม โชคดีสำหรับ CARTIER ที่มีลูกค้าที่ดีอย่าง Doris Duke "สาวน้อยผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก" เธอมีความหลงใหลในอัญมณีเป็นอย่างมากและ Doris เข้มงวดมากในการเลือกเครื่องประดับของเธอ หรือแม้แต่ Mona Williams ซึ่งเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวดีที่สุดในโลก และสามีของเธอก็เป็นหนึ่งในผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ดังนั้นเมื่อ Mona เดินทางมาถึงนิวยอร์ก CARTIER จึงมีการออกแบบเครื่องประดับชุดใหม่ ที่ไม่ธรรมดามานำเสนอให้เธอ ซึ่งถือเป็นการแข่งขันทางธุรกิจแบบใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่ข่าวจากทางปารีสไม่ค่อยดีนักอย่างที่ Louis เคยกลัว เมื่อในเดือนพฤษภาคม 1936 แนวร่วมนิยม ประกอบด้วยขบวนการฝ่ายซ้าย รวมทั้งพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศสได้รับการโหวตเข้ามา ส่วนทางด้านแรงงานก็มีการนัดหยุดงานหลายครั้งซึ่ง CARTIER เองก็มีการกังวลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลใหม่ และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือการป่วยของ Louis จากสาเหตุของเยื่อหุ้มปอดอักเสบซึ่งส่งผลต่อการหายใจ โดยแพทย์สั่งให้เขานอนพักเป็นเวลาหลายสัปดาห์ และย้ำว่าผู้ป่วยต้องผ่อนคลายเพื่อไม่ให้ปัญหารุนแรงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม Louis ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ในองค์กรที่เขาสร้างขึ้นอยู่ดี

 

Screenshot 2565 11 06 at 21.53.38

 

เมื่อสร้อยคอเพชรล้ำค่าถูกขโมยไปจาก CARTIER ปารีส ซึ่งแม้ตำรวจะเข้าตรวจสอบแต่ก็ไม่พบอะไร โดยดูเหมือนจะเป็นเรื่องภายใน ที่ก่อนหน้านั้นสร้อยคอถูกนำเสนอต่อลูกค้าในโชว์รูม โดยพนักงานขายอาวุโสซึ่งหลังจากลูกค้าออกไปแล้ว สร้อยคอก็ยังอยู่ในกล่องและถูกส่งกลับไปยังเซฟ และในวันอังคารถัดมา Jules Glaenzer ซึ่งเดินทางมาจากนิวยอร์กเป็นเวลาสองสามสัปดาห์ ก็เสร็จสิ้นการตรวจสอบสินค้าในตู้เซฟเรียบร้อย ซึ่งเมื่อเปิดกล่องสีแดงที่ควรมีสร้อยคอเพชร ล้ำค่าชิ้นนี้แต่พบว่ามีเพียงแต่กล่องเปล่าซึ่งมีเพียง René Revillon ลูกเขยของ Louis  เท่านั้นที่ได้สัมผัสของชิ้นนี้ก่อน Glaenzer เข้าตรวจสอบ ซึ่งตัว Louis เองมอบความรับผิดชอบให้ลูกเขย มากกว่าอายุและประสบการณ์ที่มี นั่นเพราะว่าเขาคือคนในครอบครัว ซึ่งก่อนหน้านี้ Jacques ก็กังวลว่าจะเป็นความผิดพลาดของ Louis หรือไม่ในการสร้างความอิจฉาริษยา และความขุ่นเคืองในหมู่พนักงานคนอื่นๆ ดังนั้นเรื่องของการโจรกรรมครั้งนี้จึงถูกเก็บเงียบ โดยมีเพียงตำรวจและพนักงานเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบเรื่อง แม้ Louis และ Devaux ลูกน้องคนสนิทพยายามขู่ René ให้รับสารภาพ ซึ่งหากสร้อยคอไม่ถูกส่งกลับภายในสองวันเรื่องนี้จะถูกนำขึ้นศาล และสร้อยคอเส้นนั้นก็โผล่อยู่ใต้เสื่อในทางเดินช่วงวันต่อมา

 

Screenshot 2565 11 06 at 22.02.23