OMEGA Seamaster Olympic Games Gold Collection และ Limited Edition Platinum ตัวแทนแห่งเหรียญรางวัลโอลิมปิก
เมื่อไม่นานมานี้เราได้นำเสนอนาฬิการุ่นใหม่ของ OMEGA จากคอลเลคชั่น Olympic Official Timekeeper ซึ่งจัดอยู่ในหมวดนาฬิกาแบบพิเศษ (Specialties) ของแบรนด์กันไปครั้งหนึ่งแล้ว อันได้แก่ Seamaster Olympic Games Collection ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ออกแนวย้อนยุคเจือแฟนซีด้านสีสัน อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ แต่รุ่นใหม่ที่เราจะนำเสนอกันในครั้งนี้จะเป็นอะไรที่ต่างออกไปโดยออกเป็นแนวเดรสย้อนยุคสไตล์คลาสสิกในตัวเรือนวัสดุสูงค่า ซึ่งก็ยังคงเป็นตระกูล Seamaster อยู่โดยใช้ชื่อเรียกขานอย่างเป็นทางการว่า Seamaster Olympic Games Gold Collection กับ Seamaster Olympic Games Limited Edition Platimum และก็ถือเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่สร้างขึ้นเพื่อร่วมฉลอง 100 ปีแห่งการเป็นผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการกีฬาโอลิมปิกของ OMEGA ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 1932 และจะเป็นไปถึงปี 2032 ตามข้อตกลงกับทางโอลิมปิก
ตัวเรือนสูงค่า 3 เฉดสี เฉกเช่นเดียวกับเหรียญรางวัลโอลิมปิก
นาฬิกาโอลิมปิกรุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นมา 4 เวอร์ชั่น โดย 3 เวอร์ชั่นจะเป็นวัสดุทองคำ 18 เค คือ เยลโลว์โกลด์, ไวท์โกลด์ (ซึ่งเป็น คาโนปัสโกลด์ “Canopus Gold” ทองคำไวท์โกลด์สูตรพิเศษที่สามารถคงความกระจ่างขาวของวัสดุได้ยาวนานกว่าไวท์โกลด์ทั่วไป) และเซดนาโกลด์ (Sedna Gold : ทองคำพิ้งค์โกลด์สูตรเฉพาะของ OMEGA) ส่วนอีกเวอร์ชั่นจะเป็นวัสดุแพลตินั่ม ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นเดียวที่ผลิตขึ้นในแบบจำนวนจำกัด เหตุผลอ้างอิงของการใช้วัสดุ 3 สีนี้ก็คือ เพื่อเป็นการแสดงถึงสีของเหรียญรางวัล 3 ชนิด อันได้แก่ เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง
อิงดีไซน์จากรุ่นก่อนหน้า
ตัวเรือนของรุ่นนี้ใช้เป็นขนาด 39.5 มม. โดยเป็นตัวเรือนสไตล์คลาสสิกขัดลายสลับขัดเงา ผนึกกระจกหน้าปัดแซฟไฟร์ที่เคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนมาให้ทั้ง 2 ฝั่ง กันน้ำได้ 60 เมตร พร้อมเม็ดมะยมทรงหัวหอม อันเป็นแบบเดียวกับรุ่น Seamaster Olympic Games Collection ที่เคยนำเสนอไปแล้ว โดยมีที่มาจากลักษณะของนาฬิกา Seamaster บางรุ่นในสมัยยุค 60s ขณะที่แผ่นหน้าปัดทรงโค้ง สเกลนาที แท่งหลักชั่วโมงทรงสามเหลี่ยมเรียวยาว และเข็มทรงใบไม้นั้น มาในรูปแบบเดียวกับรุ่น Seamaster Edizione Venezia นาฬิกาแบบสามเข็มพร้อมฟังก์ชั่นวันที่ ที่เปิดตัวออกมาเมื่อปี 2017 (ซึ่งก็ใช้ตัวเรือนแบบเดียวกันนี้) โดยเป็นการสร้างขึ้นเพื่อจำหน่ายที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เพียงแห่งเดียว (ซึ่งก็น่าจะผลิตขึ้นในจำนวนไม่มากนัก โดยมี 2 เวอร์ชั่น คือ ตัวเรือนเซดนาโกลด์ และตัวเรือนสตีล)
หน้าปัดของรุ่นนี้จะมี 2 แบบ คือ เวอร์ชั่นที่ใช้ตัวเรือนทองคำ จะใช้หน้าปัดเคลือบอีนาเมลสีขาวเปลือกไข่ ส่วนเวอร์ชั่นตัวเรือนแพลตินั่มจะใช้หน้าปัดเคลือบอีนาเมลสีดำ ดีไซน์รายละเอียดบนหน้าปัดมาในสไตล์มินิมัลด้วยการมีเพียงโลโก้ของแบรนด์ซึ่งทำเป็นแบบวินเทจกับชื่อรุ่นและข้อความสวิสเมด บวกกับสเกลนาทีขีดเล็กๆ เท่านั้น โดยชิ้นหลักชั่วโมงกับเข็มนั้นจะทำจากวัสดุทองคำ 18 เค ที่เป็นสีเดียวกับตัวเรือน และในเวอร์ชั่นที่ใช้หน้าปัดสีขาวยังได้เพิ่มความเด่นด้วยการใช้โลโก้โอเมก้าที่พิมพ์ด้วยสีแดง แต่เวอร์ชั่นหน้าปัดสีดำก็ไม่น้อยหน้าแต่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าขีดสเกลนาที โลโก้ และชื่อรุ่นนั้นเป็นการพิมพ์ด้วยแพลตินั่ม!
สามเข็มเรียบง่าย เที่ยงตรงแม่นยำ
เนื่องจากคอนเซ็ปต์ของนาฬิการุ่นนี้เน้นความเรียบง่ายเป็นที่ตั้ง การแสดงเวลาจึงมาในรูปแบบสามเข็มโดยไม่มีฟังก์ชั่นวันที่มารบกวนความเกลี้ยงเกลาของหน้าปัด ไม่แม้แต่ข้อความประกาศศักดาของกลไกที่มักปรากฏอยู่บนหน้าปัดของรุ่นอื่นๆ แต่ไม่ใช่ว่าใช้กลไกแบบธรรมดาไร้ดีกรี เพราะเครื่องที่เป็นขุมกำลังในการขับเคลื่อนนั้นก็เป็นเครื่องขึ้นลานอัตโนมัติ อินเฮ้าส์ ความถี่ 25,200 ครั้งต่อชั่วโมง กำลังสำรอง 55 ชั่วโมง ที่ใช้เอสเคปเม้นท์แบบ โค-แอกเซียล และใช้แฮร์สปริงวัสดุซิลิคอน พร้อมความสามารถในการทนทานต่อสนามแม่เหล็กได้ถึงระดับ 15,000 เกาส์ และได้รับการรับรองความแม่นยำมาตรฐาน มาสเตอร์โครโนมิเตอร์ จากสถาบัน METAS ตามมาตรฐานกลไกชั้นยอดของ OMEGA ในยุคปัจจุบัน รหัสของกลไกเครื่องนี้ก็คือ คาลิเบอร์ 8807 ส่วนโรเตอร์ซึ่งสามารถมองเห็นได้ผ่านกระจกแซฟไฟร์บนฝาหลังนั้นทำจากเซดนาโกลด์ 18 เค ขัดแต่งเป็นลายเจนีวาเวฟแบบเกลียวโค้งตามสไตล์ OMEGA โดยถูกล้อมรอบด้วยแผ่นวงแหวนทองคำ 18 เค สีเดียวกับตัวเรือน (เวอร์ชั่นตัวเรือนแพลตินั่มใช้แผ่นวงแหวนแพลตินั่ม) ซึ่งปรากฏเลขปีพร้อมชื่อเมืองประจำการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ OMEGA เป็นผู้จับเวลาการแข่งขันอย่างเป็นทางการไล่เรียงตั้งแต่ ลอส แอนเจลิส ปี 1932 ไปจนถึง ลอส แอนเจลิส ปี 2028 และข้อความ OFFICIAL TIMEKEEPER กับสัญลักษณ์โอลิมปิกห้าห่วง อยู่บนพื้นวงแหวนจากการสลักด้วยเลเซอร์
Seamaster Olypic Games รุ่นนี้ เปิดราคาจำหน่ายเท่ากันที่ 601,000 บาท สำหรับเวอร์ชั่นตัวเรือนเยลโลว์โกลด์กับเวอร์ชั่นตัวเรือนเซดนาโกลด์ (Gold Collection) ซึ่งทั้งคู่มากับสายหนังจระเข้สีน้ำตาลต่างความเข้มล็อคด้วยหัวเข็มขัดทองคำสีเดียวกับตัวเรือน ส่วนเวอร์ชั่นตัวเรือนไวท์โกลด์ (Gold Collection) ซึ่งมาคู่กับสายหนังจระเข้สีดำล็อคด้วยหัวเข็มขัดไวท์โกลด์ จะวางราคาไว้ที่ 657,000 บาท ขณะที่เวอร์ชั่นตัวเรือนแพลตินั่ม คู่กับสายหนังจระเข้สีดำ (Limited Edition Platinum) ซึ่งเป็นการผลิตแบบ ลิมิเต็ด เอดิชั่น ที่จำกัดจำนวนการผลิตไว้เพียง 100 เรือนนั้น ตั้งราคาไว้ที่ 1,314,000 บาท
(ราคาเงินบาทเป็นราคาขายที่ทางแบรนด์แนะนำซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว โดยอ้างอิงจากที่ปรากฎบนเว็บไซต์ของ Omega)
By: Viracharn T.