เผยโฉม HM5 นาฬิกาล้ำๆ ด้วยเทคนิคและจินตนาการรุ่นที่ 5 จากซีรี่ส์ Horological Machine โดย MB&F
ผู้ที่ติดตามนาฬิกาซีรี่ส์ Horological Machine ของ MB&F มาโดยตลอด คงพอจะทราบอยู่แล้วว่า นาฬิกาซีรี่ส์นี้ในแต่ละรุ่นล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดตลอดเรือนจรดเครื่องที่ใช้ โดยจะถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์อันมีที่มาที่ไปจากความต้องการของชายที่ชื่อ Maximilian Büsser เจ้าของแบรนด์นั่นเอง ทั้งนี้ผู้ที่จะมารับหน้าที่สร้างสรรค์จินตนาการแต่ละชิ้นให้เป็นจริงขึ้นมาได้ก็จะเป็นเพื่อนร่วมวงการที่คุยกันแล้วคลิ้กและเต็มใจที่จะทุ่มเทแรงกายแรงความคิดมาทำให้อย่างสุดความสามารถหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละโปรเจ็คต์
สำหรับโปรเจ็คต์หมายเลขห้า Horological Machine No.5 หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า HM5 นั้น คุณ Max นำแรงบันดาลใจมาจากสิ่งประดิษฐ์ในยุคทศวรรษที่ 1970 ซึ่งถือเป็นทศวรรษแห่งการสร้างสรรค์ของมนุษย์ การสำรวจอวกาศอย่างมุ่งมั่น เที่ยวบินความเร็วเหนือเสียง เจ็ตแพ็ค ตลอดจนกำเนิดแห่งยนตกรรมนิยามซูเปอร์คาร์ Lamborghini Miura ต่างถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลานี้ทั้งสิ้น ส่วนในโลกแห่งนาฬิกาก็เป็นยุคแห่งการถือกำเนิดของนาฬิกาควอตซ์ที่แสดงผลเป็นตัวเลขด้วยหน้าจอแอลอีดีซึ่งเป็นการปิดฉากนาฬิกาเครื่องจักรกลในยุคนั้นให้หายไปจากตลาด ซึ่งหากจะถามผู้คนในตอนนั้นว่า รูปแบบนาฬิกาในอนาคตอย่างในขณะนี้จะเป็นอย่างไร คงไม่มีใครตอบว่า เป็นนาฬิกาทรงกลมหน้าปัดขาวแสดงผลด้วยเข็มเป็นแน่
Max นำกรอบความคิดต่างๆ จากสิ่งประดิษฐ์แห่งทศวรรษที่ 1970 อันเป็นช่วงเวลาที่เขายังเป็นเด็กชายมาเขย่าอีกครั้งให้ออกมาเป็นนาฬิกาจักรกลล้ำเทคโนโลยี HM5 ซึ่งถูกตั้งชื่อเล่นว่า ‘On the Road Again’ อันหมายถึงการกลับมาอยู่บนเส้นทางอีกครั้งของรูปลักษณ์ของนาฬิกาข้อมือแห่งอนาคตในจินตนาการของผู้คนสมัยยุคทศวรรษที่ 1970
ดีไซน์ของตัวเรือนถูกบรรจงออกแบบขึ้นอย่างพิถีพิถันในลักษณะเดียวกับการสร้างซูเปอร์คาร์แบบแรกของโลกที่ถือกำเนิดขึ้นในสมัยนั้น คือ จะต้องมีแชสซีส์ชั้นเลิศ งานตัวถังลู่ลมเปี่ยมแอโร่ไดนามิก มีปีกท้าย ท่อไอเสีย และแผ่นบานเกล็ดบนกระจกบานท้าย เป็นต้น นำมาผนวกเข้ากับการแสดงผลเป็นชั่วโมงกับนาที ณ ด้านล่างของตัวเรือน ซึ่งจะแสดงค่าเวลาชั่วโมงกับนาทีด้วยตัวเลขขนาดใหญ่คล้ายกับนาฬิกาเครื่องควอตซ์ที่แสดงผลด้วยตัวเลขดิจิตอล ตัวแทนแห่งนาฬิกายุคทศวรรษที่ 1970 เช่นกัน ผู้ออกแบบก็คือ Eric Giroud รายละเอียดและดีไซน์ของนาฬิการุ่นนี้ ล้วนมีที่มาจากลักษณะเด่นของผลงานระดับไอคอนแห่งยุคทศวรรษที่ 1970 ทั้งสิ้น ตัวเรือนภายนอกมีความยาว 51.5 กว้าง 49 หนา 22.5 มม. สร้างจากวัสดุเซอร์โคเนียม แต่ไม่ได้มีคุณสมบัติกันน้ำเพราะตัวเรือนภายนอกจะถูกประกอบเข้ากับตัวถังสเตนเลสสตีลกันน้ำได้ในระดับ 30 เมตร ที่จะทำหน้าที่ห่อหุ้มเครื่องนาฬิกาเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง ส่วนด้านหลังของตัวถังสเตนเลสสตีลห่อหุ้มเครื่องซึ่งทำหน้าที่เป็นฝาหลังด้วยจะกรุด้วยกระจกแซฟไฟร์คริสตัลเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนทั้งสองด้านเพื่อให้มองเห็นเครื่องที่ถูกขัดแต่งอย่างสวยซึ่งอยู่เหนือโรเตอร์ทองคำ 22k ทรงขวานศึกอันเป็นเอกลักษณ์ของ MB&F สวมใส่คู่กับสายยางที่ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะและมากับบัคเกิ้ลไทเทเนียม
เมื่อโจทย์ที่ต้องการคือ การแสดงค่าชั่วโมงกับนาทีด้วยตัวเลขขนาดใหญ่คล้ายกับตัวเลขดิจิตอลที่ได้จากเครื่องควอตซ์ การบ้านหนักจึงตกไปอยู่กับผู้พัฒนาเครื่องซึ่งผู้ที่มาแสดงฝีมือในคราวนี้ก็คือ Jean-François Mojon, Vincent Boucard และทีมงานแห่ง Chronode ผลลัพธ์จากการพัฒนาจากโจทย์นี้ได้ออกมาเป็นเครื่องขึ้นลานอัตโนมัติ กำลังสำรอง 42 ชั่วโมง 30 จิวเวล ความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง ที่ขับเคลื่อนด้วยเกียร์เทรน Sowind ซึ่งสร้างสรรค์การแสดงค่าเวลาด้วยตัวเลขเคลือบสารเรืองแสงซูเปอร์ลูมิโนว่าที่พิมพ์ลงบนจานดิสก์ซึ่งเป็นกระจกไมเนอรัล 2 จานที่ถูกยึดด้วยบริดจ์ชิ้นใหญ่ ณ ตำแหน่งบนสุดของตัวเครื่อง จานซ้ายเป็นชั่วโมง จานขวาเป็นนาที วางซ้อนเหลื่อมกันเพื่อให้แสดงตัวเลขชั่วโมงกับนาทีได้อย่างชัดเจนด้วยขนาดที่ใหญ่และมีระยะห่างที่เหมาะสม จานดิสก์ทั้งสองจะหมุนทวนเข็มนาฬิกาโดยจานชั่วโมงจะหมุนกระโดดแบบจั๊มปิ้ง แต่ขณะตั้งเวลานั้นจานชั่วโมงจะสามารถหมุนได้ 2 ทิศทางเพื่อให้ปรับตั้งชั่วโมงไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้อย่างสะดวก
จานดิสก์ทั้งสองนี้ถูกจัดวางซ้อนเหลื่อมกันในแนวนอน แต่ที่สามารถมองเห็นค่าได้ในแนวตั้งนั้นเป็นผลมาจากการใช้คุณสมบัติการหักเหของแสงผ่านกระจกหน้าปัดแซฟไฟร์สีเข้มทรงปริซึมเกรดเดียวกับเลนส์แว่นสายตาชั้นดีเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนที่มีคุณสมบัติเป็นกระจกขยายในระดับ 20% และมีการหักเหที่พอดิบพอดีทำให้ตัวเลขบนจานในแนวนอนถูกหักเหในระดับ 90 องศาจนสามารถอ่านค่าตัวเลขในแบบแนวตั้งผ่านกรอบเส้นสีเขียวอ่อนได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นมุมการอ่านค่าของนาฬิกาข้อมือที่นักขับรถชื่นชอบเพราะสามารถดูเวลาได้ทันทีขณะที่มืออยู่บนพวงมาลัยโดยไม่ต้องพลิกข้อมือ ส่วนบานเกล็ด 2 บานที่เผยอเปิดได้ด้วยปุ่มเลื่อนบนตัวเรือนนั้น มีไว้เพื่อรับแสงสว่างสำหรับเติมพลังให้กับสารเรืองแสงซูเปอร์ลูมิโนว่าบนจานดิสก์นั่นเอง
MB&F ประกาศจำนวนการผลิตของ HM5 - On the Road Again ชุดแรกในตัวเรือนเซอร์โคเนียมเอาไว้ที่ 66 เรือน ส่วนจะมี HM5 เวอร์ชั่นอื่นออกมาอีกหรือไม่อย่างไรนั้น ยังไม่มีการเปิดเผย ณ ขณะนี้
By: Viracharn T.