SIHH 2012 - New pieces from VAN CLEEF & ARPELS
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับรายงานนาฬิการุ่นใหม่คอลเลคชั่นปี 2012 จากงาน SIHH 2012 ซึ่งจัดขึ้น ณ Palexpo ที่กรุงเจนีวาระหว่างวันที่ 16-20 ของเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่ทาง IAMWATCH นำมารายงานให้ชมกันไปแล้วรวม 17 แบรนด์ด้วยกัน น่าจะมีสักรุ่นหรือหลายรุ่นที่ถูกใจคุณให้ได้เตรียมควักกระเป๋ากัน
และก็มาถึงแบรนด์สุดท้ายของรายงานชุด SIHH 2012 โดย IAMWATCH กันแล้วซึ่งก็ได้แก่ VAN CLEEF & ARPELS แต่ก่อนที่จะเข้าสู่รายงานนาฬิกาของแบรนด์นี้ ขอสรุปภาพรวมของงาน SIHH 2012 ให้ทราบกันก่อนนะครับ งาน SIHH ที่มีชื่อเต็มว่า The Salon International de la Haute Horlogerie นี้เป็นงานปิดที่เข้าชมได้เฉพาะสื่อมวลชนที่ได้ถูกเชิญจากแบรนด์นาฬิกาต่างๆ ที่นำนาฬิกามาจัดแสดงในงาน และตัวแทนจำหน่ายของแต่ละประเทศเท่านั้น ไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปซื้อบัตรเข้าชมได้เหมือนกับงาน BASELWORLD แต่อย่างใด งานในปี 2012 ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 22 ของการจัดงาน โดยมีแบรนด์นาฬิกาเข้าร่วมจัดแสดงในพื้นที่รวม 30,000 ตารางเมตรทั้งหมดรวม 18 แบรนด์ด้วยกัน แบ่งเป็น 13 แบรนด์ในเครือ Richemont Group ได้แก่ A. Lange & Sohne, Baume & Mercier, Cartier, Greubel Forsey, IWC, Jaeger-LeCoultre, Montblanc, Panerai, Piaget, Ralph Lauren, Roger Dubuis, Van Cleef & Arpels และ Vacheron Constantin กับอีก 5 แบรนด์อื่นๆ ได้แก่ Audemars Piguet, Girard-Perregaux, JeanRichard, Parmigiani Fleurier และ Richard Mille และรายงานนาฬิกาใหม่ของ VAN CLEEF & ARPELS ซึ่งเป็นรายงานฉบับสุดท้ายของงาน SIHH 2012 โดย IAMWATCH นั้นจะมีทีเด็ดอย่างไรทิ้งท้าย เชิญรับชมได้เลยครับ
หน้าบทใหม่แห่งซีรี่ส์ The Poetry of TimeTM
ในงาน SIHH 2012 ครั้งนี้ VANCLEEF & ARPLES ได้เผยโฉมหน้าบทใหม่ของนาฬิกาในซีรี่ส์ The Poetry of TimeTM พร้อมกันถึง 2 รุ่น หลังจากที่เริ่มต้นปฐมบทของซีรี่ส์จากแนวคิดที่ต้องการสร้างสรรค์เรือนเวลาที่สามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้ด้วยการบอกเวลาด้วยการออกรุ่น Lady Arpels Feerie ซึ่งมาพร้อมกับการบอกเวลาแบบเรโทรกราดด้วยคทากับปลายปีกของรูปสลักเทพธิดาประดับเพชรในปี 2007 โดยคทาที่แกว่งไกลนั้นแทนความหมายในการเสกให้เด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ ในเปลของเธอเปี่ยมไปด้วยความสุข ความร่าเริง และความรัก ตามมาด้วย Une Fournee a Paris ในอีกราว 2 ปีถัดมาซึ่งเด็กน้อยเริ่มเติบโตขึ้นมาท่ามกลางนครสุดโรแมนติกซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์แห่งกรุงปารีสบนหน้าปัด ต่อด้วย Pont des Amoureux ในปี 2010 ที่ยังคงใช้ฉากในปารีสเป็นแบ็คกราวด์โดยคราวนี้เด็กน้อยได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวกางร่มเดินขึ้นสะพานโค้งที่พาดผ่านแม่น้ำ Seine โดยใช้ปลายร่มชี้บอกชั่วโมงเพื่อจะมาพบกับเด็กหนุ่มที่ซ่อนดอกไม้เอาไว้ด้านหลังให้ปลายดอกไม้ชี้บอกนาทีซึ่งเดินขึ้นสะพานเพื่อมาพบกับเด็กสาวจากอีกฝั่งหนึ่ง และทั้งสองจะจุมพิตกันกลางสะพานในตอนเที่ยงคืน และในที่สุดก็มาถึงปี 2012 นี้ ที่ซึ่ง Lady Arpels Poetic Wish และ Midnight Poetic Wish จะเป็นนาฬิกา 2 รุ่นใหม่ที่จะมาเล่าเรื่องราวความรักตอนใหม่ของเด็กหนุ่มสาวจาก Pont des Amoureux คู่นั้น
(จากซ้าย) Lady Arpels Feerie ปี 2007 ต่อด้วย Une Fournee a Paris และปี 2010 กับ Pont des Amoureux รุ่นพี่ทั้งสามของ Lady Arpels Poetic Wish กับ Midnight Poetic Wish ปี 2012
Lady Arpels Poetic Wish & Midnight Poetic Wish
ทั้ง 2 รุ่นใหม่นี้ยังเปี่ยมไปด้วยแนวทางอันชัดเจนของคอนเซ็ปต์การเล่าเรื่องราวด้วยการบอกเวลาของซีรี่ส์ แต่คราวนี้มาในแบบซับซ้อนยิ่งขึ้นด้วยงานอนิเมชั่น Automaton 3 ชิ้น ประกอบด้วย รูปคน รูปก้อนเมฆ และรูปว่าวหรือรูปดาวตก ขับเคลื่อนด้วยคอมพลิเคชั่นที่เรียกว่า Poetic ComplicationsTM เพื่อร่วมกันบอกชั่วโมงกับนาที พร้อมกับการตีบอกชั่วโมงกับนาทีจากการทำงานของกลไกไฟว์มินิทรีพีทเตอร์ซึ่งการตีบอกนาทีหนึ่งครั้งจะหมายความถึง 5 นาที โดยสามารถมองเห็นค้อนและจังหวะการตีที่ติดตั้งไว้ตรงส่วนกลางทางด้านหลังของเครื่องได้จากฝาหลังกรุคริสตัล เสียงการตีบอกชั่วโมงนั้นจะเป็นโทนต่ำ ส่วนเสียงการตีบอกนาทีจะเป็นโทนสูง และทางด้านหลังนี้ยังมีวงหน้าปัดอีก 2 วง โดยวงใหญ่จะมีเข็มชั่วโมงกับนาทีชี้บอกเวลา ส่วนวงเล็กจะมีเข็มชี้บอกวินาที กลไกไขลานเครื่องนี้เดินด้วยความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง มีกำลังสำรอง 60 ชั่วโมงซึ่งทาง VANCLEEF & ARPELS ได้ทำการจดสิทธิบัตรแล้ว
ด้านงานสลัก ตกแต่ง และลงสี เป็นหัวใจแห่งความงดงามเชิงวิจิตรศิลป์ของการเล่าเรื่องราวผ่านทางหน้าปัดของงานนาฬิกาในซีรี่ส์ Poetry of TimeTM นี้เป็นอย่างยิ่ง จึงต้องใช้ช่างฝีมือที่มีทักษะชั้นสูงในแต่ละแขนงมาเป็นผู้รังสรรค์ขึ้นทีละชิ้นอย่างประณีตบรรจงโดยใช้เวลาทั้งสิ้นหลายร้อยชั่วโมงกว่าจะสำเร็จออกมาแต่ละเรือน โดยในนาฬิการุ่นใหม่ทั้ง 2 นี้จะเริ่มกันตั้งแต่การแกะสลักรูปภาพต่างๆ บนแผ่นหน้าปัดทองคำและขัดแต่งให้ได้พื้นผิวลักษณะต่างๆ ตามแบบที่ต้องการอย่างงดงาม ต่อด้วยการลงสีตกแต่งอย่างละเอียด ส่วนชิ้นงานเปลือกหอยมุกที่ตัดเป็นรูปก้อนเมฆก็ถูกสลักลวดลายลงไปอย่างงดงาม โดยยังคงเล่าเรื่องราวที่มีฉากหลังเป็นกรุงปารีสต่อเนื่องจากผลงานรุ่นก่อนของซีรี่ส์นี้ นาฬิกาทั้งคู่จะมาพร้อมกับกล่องไม้อย่างดีโดยมีภาพในบรรยากาศสอดคล้องกับเรื่องราวที่ปรากฎบนหน้าปัดของนาฬิกาแต่ละรุ่นลงสีสวยงามและตกแต่งด้วยเปลือกหอยมุก ภายในบรรจุด้วยอุปกรณ์สายแบบดั้งเดิมเพื่อให้สามารถฟังเสียงอันไพเราะจากการทำงานของกลไกคอมพลิเคชั่นได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ลวดลายบนกล่องไม้ของ Lady Arpels Poetic Wish
Lady Arpels Poetic Wish
ในรุ่น Lady Arpels Poetic Wish นั้นจะมีพื้นหลังเป็นเวลากลางวันของบริเวณโบสถ์นอร์เธอดามในกรุงปารีสยามมองลงมาจากบนท้องฟ้า เมื่อสั่งการให้มินิทรีพีทเตอร์ทำงานด้วยการหมุนลานบนเม็ดมะยมที่ตำแหน่ง 2 นาฬิกาแล้ว กลไกจะทำให้ Automaton ทั้งสามเคลื่อนไหว โดยเริ่มจากรูปสลักของเด็กสาวซึ่งอยู่ที่ฝั่งซ้ายของหน้าปัดจะเลื่อนไปข้างหน้าพร้อมๆ กับที่ก้อนเมฆซึ่งทำจากเปลือกหอยมุกจะเลื่อนถอยเข้ามาหาเด็กสาวพร้อมๆ กับการเริ่มตีบอกชั่วโมงที่มีเสียงดั่งระฆังแห่งโบสถ์นอร์เธอดามโดยเด็กสาวกับก้อนเมฆจะมาชนกัน ณ ตำแหน่งชั่วโมงบนมาตรสเกลซึ่งอยู่บนพื้นระเบียงชั้นแรกของหอไอเฟลทำจากไวท์โกลด์ที่เด็กสาวก้าวเดิน พร้อมๆ กับเสียงการตีบอกชั่วโมงจังหวะสุดท้าย จากนั้นว่าวที่หลบอยู่ทางด้านหลังก็จะลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อชี้บอกเลขนาทีที่สลักอยู่บนผืนแม่น้ำ Seine บนหน้าปัดเป็นจังหวะพร้อมๆ กับเสียงค้อนที่ตีบอกในแต่ละครั้งซึ่งก็จะไปหยุดตรงเลขนาทีบนมาตรตามจังหวะสุดท้ายที่ค้อนตีบอกนาที เมื่อหยุดชี้บอกเวลาในตำแหน่งนั้นสักครู่หนึ่ง Automaton ทั้งสามชิ้นก็จะถอยกลับไปอยู่สงบนิ่งในตำแหน่งเริ่มต้น รายละเอียดต่างๆ บนหน้าปัดถูกลงสีอย่างประณีต และตกแต่งเพิ่มเติมด้วยก้อนเมฆต่างๆ ที่แกะลายลงบนเปลือกหอยมุก ตัวเรือนทำจากวัสดุไวท์โกลด์ประดับเพชรบนขอบตัวเรือน ขาสาย และเม็ดมะยมทั้งสอง สวมใส่กับสายที่ประกอบด้วยวัสดุ 2 ชนิด คือ ผ้ามัวร์ซิลค์สีเพิร์ลเกรย์และหนังวัว
Midnight Poetic Wish
สำหรับหน้าปัดของรุ่น Midnight Poetic Wish นั้นจะปรากฎรูปสลักของเด็กหนุ่มซึ่งยืนอยู่บนระเบียงดาดฟ้าของโบสถ์นอร์เธอดามอยู่ฝั่งซ้ายของหน้าปัดโดยมีฟากฟ้ายามย่ำค่ำพร้อมกับมีแสงสุดท้ายแห่งดวงอาทิตย์ที่เพิ่งลับขอบฟ้าสะท้อนผ่านหน้าต่างสเตนกลาสของโบสถ์และหอไอเฟลแห่งกรุงปารีสเป็นฉากหลัง เมื่อสั่งการให้กลไกมินิทรีพีทเตอร์ทำงานเด็กหนุ่มนี้ก็จะเดินไปข้างหน้าเข้าหาก้อนเมฆที่ทำจากเปลือกหอยมุกที่เคลื่อนถอยเข้ามาหาพร้อมๆ กับเสียงการตีบอกชั่วโมงเริ่มดังขึ้น โดยจะมาชนกันเพื่อชี้บอกเลขชั่วโมง ณ ขณะนั้นบนมาตรสเกลที่อยู่บนพื้นระเบียงพร้อมๆ กับจังหวะสิ้นสุดของเสียงการตีบอกชั่วโมง จากนั้นสิ่งที่ใช้ชี้บอกนาทีของ Midnight Poetic Wish ซึ่งเป็นรูปสลักรูปดาวตกประดับเพชรก็จะโผล่ขึ้นมาจากพื้นหลังเพื่อชี้บอกเลขนาทีซึ่งอยู่บนท้องฟ้าตามจังหวะการตีบอกนาทีไปหยุดอยู่ที่นาทีจริงในขณะนั้นพร้อมๆ กับการตีบอกนาทีในจังหวะสุดท้าย เมื่อหยุดบอกเวลาได้สักครู่ก็จะกลับไปอยู่ในตำแหน่งเริ่มต้นในลักษณะเช่นเดียวกันกับ Lady Arpels Poetic Wish ทุกประการ ตัวเรือนของ Midnight Poetic Wish ทำจากวัสดุไวท์โกลด์ประดับเพชรทรงบาแกตต์บนขอบตัวเรือนและขาสาย ส่วนสายจะประกอบด้วยวัสดุ 2 ชนิด คือ หนังจระเข้ “Clair de lune” กับหนังวัวผิวนุ่ม
Pierre Arpels Collection
Pierre Arpels
Pierre Arpels เป็นบุคคลสำคัญแห่งแบรนด์ VAN CLEEF & ARPELS เขาผู้นี้ซึ่งเป็นทั้งนักธุรกิจ นักออกแบบ นักเดินทาง และนักกีฬา มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1919 - 1980 โดยนาฬิการุ่นที่ใช้ชื่อของเขามาเป็นชื่อรุ่นนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1949 สำหรับตัวของเขาเองซึ่งเป็นนาฬิกาในรูปแบบที่ตัวเขาต้องการและต่อมาก็ได้ทำขึ้นให้กับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนสนิทบางคนของเขาเท่านั้น ซึ่งคุณสมบัติแห่งความงามสง่า สุขุม และมีความซับซ้อนเชิงโครงสร้างที่แสนบางเชื่อมต่อระหว่างตัวเรือนกับขาสายของนาฬิกาเรือนกลมหมดจด เม็ดมะยมทอง หน้าปัดขาว เข็มทรงบาตองสีดำ 2 เข็มชี้บอกหลักชั่วโมงเลขโรมันในตำแหน่ง 12,3,6,9 และใช้ขีดบนหลักที่เหลือ คู่กับสายหนังจระเข้สีดำ ของนาฬิการุ่นนั้นก็ได้กลายเป็นนาฬิกาในตำนานของแบรนด์ไปแล้ว กว่าจะทำออกมาในเชิงพาณิชย์จำหน่ายให้กับผู้คนทั่วไปก็ปาเข้าไปปี 1971 แล้วโดยใช้ชื่อว่า PA49 มาในปี 2012 นี้ ทาง VAN CLEEF & ARPELS จึงได้หยิบเอานาฬิการะดับไอคอนของแบรนด์รุ่นนี้มาตีความใหม่ให้มีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น โดยใช้ชื่อว่า Pierre Arpels เพื่อเป็นเกียรติและเป็นการรำลึกถึงบุคคลผู้เป็นตำนานของแบรนด์ท่านนี้โดยยังคงคุณลักษณะหลักจากรุ่นต้นฉบับเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
Pierre Arpels
ด้านซ้ายเป็นตัวเรือนพิงค์โกลด์ ขนาด 38 มิลลิเมตร ส่วนด้านขวาเป็นตัวเรือนพิงค์โกลด์ ขนาด 42 มิลลิเมตร ทั้ง 2 ขนาด มีสัดส่วนของเส้นสายกับรายละเอียดต่างๆ ที่แทบจะไม่ผิดเพี้ยนกัน
นาฬิการุ่น Pierre Arpels รุ่นใหม่ปี 2012 นี้มีตัวเรือนและหน้าปัดทรงกลมเกลี้ยงเกลา หลักชั่วโมงที่ตำแหน่ง 12,3,6,9 เป็นเลขโรมันฟอนท์บางร่วมกับหลักชั่วโมงที่เหลือแบบขีดบางๆ ทั้งหมดอยู่บนผืนหน้าปัดสีขาวบริสุทธิ์ตามรุ่นดั้งเดิม ให้อารมณ์คลาสสิกสุดๆ สีขาวบนหน้าปัดนี้เป็นสีที่เกิดจากการลงแลคเกอร์ แต่ส่วนกลางที่ถูกขีดวงไว้ด้วยเส้นทองนั้นจะแกะเป็นลายรวงผึ้ง หลักชั่วโมงเลขโรมันเป็นทองคำส่วนหลักชั่วโมงที่เป็นขีดจะใช้สีดำ ขอบตัวเรือนถูกออกแบบใหม่ให้เอียงลาดลงเพื่อให้ลื่นไหลไม่ติดขัดยามซ่อนอยู่ในแขนเสื้อที่กลัดกระดุมไว้ ส่วนปลายด้านบนและล่างของตัวเรือนกลมบางสุดๆ นี้ถูกเชื่อมต่อกับขาสายซึ่งติดตั้งอยู่ภายในสายหนังจระเข้ดังเช่นเจตจำนงค์ดั้งเดิมของ Pierre Arpels ภายในตัวเรือนบรรจุด้วยเครื่องไขลาน Calibre 830 P ของ Piaget มีขนาดของตัวเรือนให้เลือก 2 ไซส์ คือ 38 มิลลิเมตรกับ 42 มิลลิเมตร และมีวัสดุ 2 ชนิดให้เลือก คือ พิงค์โกลด์กับไวท์โกลด์ เพิ่มเสน่ห์ด้วยการประดับเพชรลงบนส่วนปลายของเม็ดมะยม และยังมีเวอร์ชั่นขอบตัวเรือนประดับเพชรให้เลือกด้วย
ความบางของตัวเรือน ขอบตัวเรือนที่เอียงลาด และเม็ดมะยมประดับเพชร
ตัวเรือนไวท์โกลด์ ตัวเรือนไวท์โกลด์ประดับเพชร ตัวเรือนพิงค์โกลด์ประดับเพชร แต่ละแบบมีให้เลือกทั้งขนาด 38 และ 42 มิลลิเมตร
BALS de Legende Collection
คอลเลคชั่น BALS de Legende เป็นนาฬิกาจิวเวลรี่ระดับสูงของแบรนด์ ซึ่งนำแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อคอลเลคชั่นมาจากงานบอล (Ball) อันหมายถึงงานเลี้ยงหรูหราช่วงค่ำในสถานที่สุดพิเศษสำหรับผู้คนในสังคมชั้นสูงที่แน่นอนว่าเหล่าผู้มีเกียรติที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานจะต้องมีสถานะทางสังคมอันสูงส่ง และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่จะต้องแต่งกายอย่างหรูหรา สง่างามทั้งชุดและเครื่องประดับให้สมกับเกียรติยศและสถานะ (รวมถึงฐานะด้วย) โดยงานบอลนี้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส เมืองแห่งแฟชั่นและความหรูหรานั่นเอง ซึ่ง VAN CLEEF & ARPELS ก็ได้นำความหรูหราแห่งงานบอลสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศชั้นนำของโลก ทั้งในปารีส ในราชวงศ์รัสเซีย ในเวนิซ และในนิวยอร์ค มาถ่ายทอดผ่านผลงานนาฬิกาเครื่องอัตโนมัติสำหรับสุภาพสตรีในตัวเรือนขนาด 38 มิลลิเมตร ซึ่งมีคอมพลิเคชั่นที่เรียกว่า 24h Poetic CompicationTM ที่จะขับเคลื่อนให้รูปสลักคู่เต้นรำหลายคู่หลายท่วงท่าทำจากทองคำเลื่อนไหลวนไปรอบหน้าปัดครบ 1 รอบใน 24 ชั่วโมง คอลเลคชั่นนี้ของตนได้อย่างสมเกียรติ ทั้งหมดจะถูกผลิตขึ้นในแบบรันหมายเลขประจำเรือน
Bal du Palais d’Hiver
พื้นหน้าปัดเปลือกหอยมุกของนาฬิการุ่นนี้ถูกออกแบบขึ้นตามเรื่องเล่าเก่าแก่แห่งงานบอลของรัสเซียในวันซึ่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง สลักตกแต่งลวดลายต่างๆ ด้วยทองคำบนแผ่นหน้าซึ่งปกคลุมครึ่งล่างแทนลักษณะของเวที โดยมีวงรูปสลักคู่เต้นรำเลื่อนหมุนอยู่บนลานหน้าพระราชวังฤดูหนาวในยามเย็นอยู่ระหว่างกลาง อันเป็นธีมซึ่งถ่ายทอดภาพของงานบอลที่ Tsarina Alexandra แห่งรัสเซียได้จัดขึ้นในช่วงยุคศตวรรษที่ 17 ตัวเรือนทำจากพิงค์โกลด์ประดับเพชรบนขอบตัวเรือน ขาสาย และบัคเกิ้ลของสายหนังจระเข้
Bal du Siecle
รูปแบบของงานชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานบอลสวมหน้ากาก “Serenissima” ที่ Don Carlos จัดขึ้นให้กับเมืองเวนิซเพื่อรำลึกถึงความงดงามในอดีตแห่งยุคศตวรรษที่ 18 ของเมืองนี้ ภายใต้ธีมงาน “ศตวรรษที่ 18” โดยจัดขึ้นที่ Palacio Labia ในเวนิซ พื้นหน้าปัดด้านในทำจากเปลือกหอยมุกวางธีมเป็นยามค่ำคืน ส่วนพื้นหน้าปัดแผ่นหน้าซึ่งเปรียบเป็นเวทีนั้นทำจากแผ่นกระจกอเวนทูรีนแต่งลวดลายด้วยทองคำ โดยมีรูปสลักคู่เต้นรำทองคำที่หมุนอยู่ในชั้นกลางที่แตกต่างจากรุ่นอื่นเพราะแต่ละคนสวมใส่หน้ากากอยู่ด้วย มาในตัวเรือนพิงค์โกลด์ประดับเพชรบนขอบตัวเรือน ขาสาย และบัคเกิ้ลของสายหนังจระเข้
Bal Black & White
เรื่องราวบนหน้าปัดถูกออกแบบขึ้นตามงานบอลที่นักเขียนชื่อ Truman Capote จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จแห่งวรรณกรรมของตนโดยเชิญแขกผู้มีชื่อเสียงที่สุดในสังคมของโลก ณ ขณะนั้น 500 คน มาร่วมงานในค่ำวันที่ 28 เมษายน 1966 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมนิวยอร์คพลาซ่า ภายใต้เดรสโค้ดและธีมงาน Black & White พื้นหน้าปัดทำจากออนิกซ์วาดลายเส้นภาพสถาปัตย์ของเมืองในสไตล์อาร์ตเดโค ตกแต่งหน้าปัดแผ่นหน้าซึ่งเป็นเวทีด้วยชิ้นเปลือกหอยมุกและเส้นลวดลายซึ่งทำจากทองคำ โดยมีรูปสลักคู่เต้นรำคอยเลื่อนหมุนอยู่ระหว่างกลาง ตัวเรือนทำจากไวท์โกลด์ประดับเพชรบนขอบตัวเรือน ขาสาย และบัคเกิ้ลของสายหนังจระเข้
Bal Proust
พื้นหน้าปัดเปลือกหอยมุกของนาฬิการุ่นนี้ถูกแต่งแต้มด้วยลายเส้นภาพของสถาปัตยกรรมแห่งกรุงปารีสอันแสนโรแมนติก โดยมีลวดลายทำจากทองคำและเปลือกหอยมุกอยู่บนแผ่นเวทีด้านหน้า และมีรูปสลักคู่เต้นรำเลื่อนหมุนอยู่ระหว่างกลาง ซึ่งเป็นแบ็คกราวด์ของงานบอลที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานที่ Baroness Guy de Rothschild ราชินีแห่งสังคมชั้นสูงของปารีสจัดขึ้นเพื่อฉลองให้กับวันเกิดครบรอบ 100 ปีของนักเขียนที่ชื่อ Marcel Proust โดยแขกที่เข้าร่วมงานจะต้องคิดการแต่งกายด้วยแรงบันดาลใจจากงานเขียนชุดมาสเตอร์พีซ ‘In Search of Lost Time’ ของ Proust ตัวเรือนทำจากไวท์โกลด์ประดับเพชรบนขอบตัวเรือน ขาสาย และบัคเกิ้ลของสายหนังจระเข้
By: Viracharn T.