Pre-SIHH 2018 ช็อควงการด้วยดีไซน์รวมมิตรที่อยู่ใน Swiss Icons Watch นาฬิกายูนีกพีซ ประจำปี 2018 จาก H. MOSER & CIE.
อัพเดท: เมื่อวันศุกร์ที่ 12 ม.ค. 2018 เราได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากทาง H. Moser & Cie. ซึ่งลงนามถ้อยแถลงโดย Edouard Meylan ซีอีโอของแบรนด์ว่า “ขณะที่วัตถุประสงค์ของเราคือการสรรเสริญบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างความงดงามให้กับอุตสาหกรรมของเราและส่งสัญญาณกระตุ้นเตือนบางประการให้กับคนอื่นๆ แต่บางทีสารที่เราส่งก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น ดังนั้น นาฬิกา Swiss Icons Watch เรือนนี้จะไม่ถูกนำออกแสดงอีกต่อไปและจะไม่มีการออกจำหน่ายเพื่อหาทุนไปสนับสนุนการศึกษาและการอบรมแก่นักประดิษฐ์นาฬิการุ่นใหม่ดังที่เคยว่าไว้”
ทันทีที่ได้เห็นก็รับรู้ได้ทันทีว่า รูปลักษณ์ของนาฬิการุ่นนี้เป็นการนำลักษณะเด่นของนาฬิกาสวิสระดับไอคอนของวงการหลายรุ่นหลายแบรนด์มาผสานรวมไว้ด้วยกัน ซึ่งที่เห็นแล้วรู้ชัดๆ เลยก็จะมี 6 แบรนด์ คือ ขอบตัวเรือนแบบเป๊ปซี่สีน้ำเงินสลับแดงพร้อมสเกลเวลา 24 ชั่วโมง แบบ ROLEX GMT-Master II แต่มีขอบด้านนอกเป็นแปดเหลี่ยมแบบเดียวกับ AUDEMARS PIGUET Royal Oak, ชิ้นครอบเม็ดมะยมแบบ PANERAI Luminor, ดีไซน์หลักชั่วโมงแบบ Panerai, หน้าปัดสีน้ำเงินพร้อมลอนหน้าปัดแนวร่องขวางแบบ PATEK PHILIPPE Nautilus, ดีไซน์ตัวเรือนสไตล์ HUBLOT และบริดจ์ตูร์บิยองสีทองแบบบริดจ์ทองคำของ GIRARD-PERREGAUX ที่พาดขวางอยู่เหนือช่องกลมขนาดใหญ่ซึ่งเปิดให้เห็นตูร์บิยองกันชัดๆ ขณะที่ลักษณะของสายสตีลก็มีดีไซน์ที่คล้ายกับสายของ Nautilus อยู่เหมือนกัน แต่ส่วนของเข็มสีน้ำเงินที่คล้ายกับเข็มสไตล์ BREGUET นั้นไม่ชัดเจนว่าจงใจสื่อถึงอะไรแค่ไหนอย่างไร แต่ตามปกติแล้วทาง H. MOSER เองก็ไม่ค่อยได้ใช้เข็มแบบนี้ในนาฬิกายุคปัจจุบันของตนสักเท่าไหร่นัก แถมยังอุตส่าห์ปรับโลโก้ของแบรนด์ จากปกติที่ใช้ชื่อเต็มด้วยอักษรแบบตัวเขียน มาใช้เป็นอักษรย่อ HMC ที่นอกจากจะมีฟ้อนต์คล้ายกับโลโก้ IWC แล้ว ยังระบุข้างใต้ด้วยข้อความ SCHAFFHAUSEN เช่นเดียวกันด้วย ซึ่งแน่นอนว่าสามารถทำได้เพราะที่อยู่ของแบรนด์ H. MOSER & CIE. ก็ตั้งอยู่ในถิ่น Schaffhausen ของสวิตเซอร์แลนด์เช่นเดียวกับ IWC
ทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของ H. Moser & Cie. ที่ต้องการสร้างนาฬิการุ่นนี้ขึ้นมายกย่องนาฬิการะดับไอคอนเหล่านี้ ที่เป็นกำลังสำคัญของวงการนาฬิกาสวิสในการฟันฝ่าอุปสรรควิกฤตควอตซ์ในยุค 70s ถึงต้นยุค 80s จนนำความรุ่งเรืองกลับมาได้ แต่ก็แฝงการสะท้อนภาพว่าเมื่อเวลาผ่านมาหลายทศวรรษแล้ว ทำไมไม่ค่อยมีนาฬิการะดับไอคอนรุ่นใหม่ๆ ถือกำเนิดขึ้นมาเลย ขณะที่นาฬิกาเหล่านี้ก็ยังคงเป็นคอลเลคชั่นหลักของแต่ละแบรนด์โดยสืบทอดทายาทอย่างต่อเนื่องมาเจเนอเรชั่นแล้วเจเนอเรชั่นเล่า
กลไกที่ใช้กับรุ่นนี้ H. Moser & Cie. เลือกใช้เป็นกลไกอัตโนมัติ อินเฮ้าส์ ระดับสูง กำลังสำรอง 3 วัน ซึ่งควบคุมความแม่นยำด้วยตูร์บิยองแบบฟลายอิ้ง คาลิเบอร์ HMC 804 แต่มีการติดตั้งชิ้นบริดจ์สีทองเอาไว้บนหน้าปัดโดยได้ทำการฉลุช่องตรงกลางของท่อนบริดจ์เอาไว้เพื่อให้เห็นว่ามันมีไว้เพื่อแสดงดีไซน์ของบริดจ์เท่านั้น ไม่ได้ใช้ยึดกับชุดตูร์บิยองแต่อย่างใด
ทาง H. Moser & Cie. เองนั้น เดิมทีพวกเขายึดมั่นในการนำเสนอศาสตร์แห่งการประดิษฐ์นาฬิกาจากยุคแรกด้วยการคิดค้นพัฒนากลไกจักรกลชั้นเยี่ยมให้ดีเลิศยิ่งขึ้นโดยเฉพาะด้านการปรับปรุงการทำงานทั้งในด้านฟังก์ชั่นและระบบกลไก ตลอดจนคุณภาพและรูปแบบของวัสดุและชิ้นส่วน แต่ในระยะหลังๆ ก็จะเห็นได้ว่าพวกเขาหันมาให้ความสำคัญกับลักษณะการตกแต่งกันมากขึ้นซึ่งเห็นได้ชัดจากการทำสีหน้าปัดที่เรียกว่าแบบ ฟูเม่ ซึ่งเป็นการไล่เฉดอย่างงดงามเนียนตาเป็นที่สุด ซึ่งเมื่อบวกกับกลไกชั้นเลิศของพวกเขาแล้วก็เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมากๆ แต่การมาถึงของรุ่นนี้ก็ยังถือว่าเป็นเซอร์ไพรส์มากๆ อยู่ดี เพราะพวกเขายังไม่เคยทำนาฬิกาสไตล์สปอร์ตมากๆ อย่างนี้มาก่อนเลย ทั้งยังกล้าที่จะนำลักษณะเด่นๆ ของนาฬิกาหลายรุ่นหลายแบรนด์ ที่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นรูปแบบของใคร มารวมกันอย่างนี้
Edouard Meylan ซีอีโอ ของแบรนด์ กล่าวถึงเหตุผลในการสร้างนาฬิการุ่นนี้ว่า “แบรนด์นาฬิกาหลายแบรนด์ แม้แต่แบรนด์ที่มีประวัติอันเก่าแก่ก็ตาม ไม่ค่อยได้สร้างสรรค์หรือผลิตอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา แต่พวกเขาทดแทนด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อให้ยังคงอยู่ โดยเน้นไปที่การพยายามสร้างอีเว้นท์เลิศๆ และจ้างบรรดาคนมีชื่อเสียงผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการผลิตนาฬิกามาเป็นแอมบาสเดอร์ กลยุทธ์เหล่านี้เป็นแค่เพียงลูกเล่นที่สร้างแต่กลุ่มควันและกระจกเงา เพราะหัวข้อหลักก็มีแค่ใครมีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด แอมบาสเดอร์ของใครโด่งดังและได้รับความนิยมที่สุดหรือมีอิทธิพลเพราะมีแฟนๆ มากที่สุด การพยายามเหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะสิ่งสำคัญนั้นมันคือตัวผลิตภัณฑ์ต่างหาก เราจึงควรจะแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ของเราและกลับมาให้ความสำคัญกับตัวผลิตภัณฑ์เป็นหลัก เราต้องกลับมาอยู่บนโลกแห่งความจริง ถกแขนเสื้อของเราขึ้น และสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ำเดิมขึ้นมา นี่คือหนทางเดียวที่เราจะทำให้นาฬิกาสวิสเมด กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ดังนั้นวัตถุประสงค์หลักในการสร้างนาฬิการุ่นนี้ขึ้นมา ก็เพื่อส่งสารกระตุกเตือนให้วงการนาฬิกาหันมาตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของตัวนาฬิกานั่นเอง
นาฬิกา Swiss Icons Watch รุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นยูนีกพีซ เพียงแค่เรือนเดียว ในฐานะนาฬิกาเรือนพิเศษประจำปี 2018 ซึ่งจัดอยู่ในหมวดซีรี่ส์พิเศษที่เป็นนาฬิกาที่ตั้งใจผลิตขึ้นเพื่อส่งสารบางอย่างให้กับวงการนาฬิกา เช่นเดียวกับนาฬิกา Swiss Alp Watch ผลิตจำนวนจำกัด 50 เรือน เมื่อปี 2016 และ Swiss Mad Watch ยูนีคพีซ เมื่อปี 2017
Swiss Icons Watch ยุนีคพีซ เรือนนี้จะถูกนำออกประมูลหลังจากนำออกแสดงที่งาน SIHH 2018 แล้ว ซึ่งรายได้จากการขายจะนำไปมอบให้กับ Fondation pour la Culture Horlogere Suisse อันเป็นมูลนิธิเพื่อวัฒนธรรมการผลิตนาฬิกาของสวิส
รายละเอียดทางเทคนิค
H. MOSER & CIE. Swiss Icons Watch Ref. 3804-1200 ผลิตขึ้นเป็น ยูนีคพีซ เพียงเรือนเดียว
ตัวเรือน: สตีล ขนาด 43 มม. หนา 12.6 มม. ; เม็ดมะยม: ประดับแซฟไฟร์ ทรงคาโบชอง
กระจกหน้าปัด: แซฟไฟร์ คริสตัล ; ฝาหลัง: ผนึกกระจกแซฟไฟร์ คริสตัล
หน้าปัด: แบบฟูเม่ (Fumé) สีน้ำเงิน ฟังกี้ บลู แผ่นหน้าปัดประกอบขึ้นด้วยแผ่นเพลท 2 แผ่นวางซ้อนกัน ตกแต่งลายริ้วแถบแนวขวาง
ฉลุหลักชั่วโมงและเคลือบสารเรืองแสงซูเปอร์ลูมิโนว่าสีขาวไว้บนพื้นหน้าปัดแผ่นล่างบริเวณช่องฉลุ
กลไก: อัตโนมัติ อินเฮ้าส์ คาลิเบอร์ HMC 804 ความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง กำลังสำรอง 3 วัน โรเตอร์ทำจากเร้ดโกลด์ 18 เค ขึ้นลานแบบสองทิศทางด้วยระบบลิ้นสปริง
; แฮร์สปริงแบบคู่ ผลิตจากพาราแมกเนติกอัลลอย PE5000 ; ควบคุมความแม่นยำด้วยตูร์บิยองแบบฟลายอิ้ง หมุนครบรอบทุก 1 นาที ซึ่งเป็นแบบชุดโมดูลที่สามารถถอดสลับเปลี่ยนได้
ฟังก์ชั่น: แสดงชั่วโมงและนาที
สาย: สตีล ตัวล็อคแบบบานพับวัสดุสตีล
By: Viracharn T.