URWERK นำเสนอผลงานรุ่นใหม่ SpaceTime Blade การรังสรรค์เครื่องบอกเวลาแห่งห้วงอวกาศ
จากการพัฒนาให้คล็อคในรูปแบบใหม่ล่าสุดนี้ ต้องปราศจากสภาวะแทรกซ้อนจากดาวเทียม ไม่มีเข็ม ไม่มีชุดเฟือง ไม่มีตัวเรือน และไม่มีหน้าปัด ซึ่งเครื่องมือนี้ได้กำหนดนิยามใหม่ ในการบอกเวลาตามแบบฉบับของ URWERK ซึ่งมีแต่ URWERK เท่านั้นที่กล้าสร้างขึ้น ด้วยผลงาน SpaceTime Blades ที่ผลิตในแบบจำนวนจำกัดเพียง 33 เรือน พร้อมส่วนประกอบในแต่ละเรือนที่มากถึง 1,446 ชิ้น โดย SpaceTime Blade ได้รับการออกแบบให้สอดคล้อง กับความฝันอันกว้างไกลของ URWERK ซึ่งเกิดจากความสามารถของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญงานระดับสูง สะท้อนรสนิยมในการสร้างสรรค์ผลงานของ URWERK ที่สร้างความแปลกใหม่เหนือจินตนาการอย่างไร้ขอบเขต ซึ่งต้องค้นหาช่างฝีมือที่มีวิสัยทัศน์ ที่ท้าทายในแบบเดียวกันเพื่อรังสรรค์ผลงานขึ้น นั่นก็คือแท่งท่อแก้วที่สูงถึง 1.70 เมตรและหนัก 20 กิโลกรัม
จนมาเป็น SpaceTime Blade ที่ถือเป็นเครื่องมือบอกเวลาที่สง่างาม ตามแบบฉบับของโนมอน ซึ่งเป็นเสาหลักแห่งกาลเวลา ดังนั้น SpaceTime Blade จึงเป็นดั่งพยานการเดินทางของโลกรอบดวงอาทิตย์ ถือเป็นเครื่องมือบอกเวลาแห่งอวกาศจาก URWERK ที่ซึ่ง SpaceTime Blade ปักหลักอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า และแสดงเวลาชั่วโมง นาที วินาที และอื่นๆ อีกหลากหลายฟังก์ชั่น ที่ Felix Baumgartner ช่างนาฬิการะดับปรมาจารย์และผู้ร่วมก่อตั้ง URWERK อธิบายว่า "ทางแบรนด์ยังคงสำรวจความสัมพันธ์ ระหว่างห้วงเวลาและอวกาศ ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 1800 ที่ Gustave Sandoz ทำให้ความสัมพันธ์นี้มองเห็นได้ ด้วยการสร้างนาฬิกาแทนที่จะแสดงเวลาชั่วโมง แต่กลับเป็นการแสดงระยะทางถอยหลังเป็นกิโลเมตร”
“ที่ทำให้นึกถึงสภาพของเรา ในฐานะผู้โดยสารบนยานอวกาศที่พุ่งทะยาน ผ่านกาแล็กซีด้วยความเร็วสูง โดยแนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ในคอลเลคชั่น 100 และขณะนี้กำลังตีความหมายครั้งใหม่ผ่าน SpaceTime Blade จึงทำให้การเดินทางที่สามารถคำนวณได้ตรงกับ 940 ล้านกิโลเมตร ในการเดินทางรอบดวงอาทิตย์ในแต่ละปีเป็นชั่วโมง นาที และวินาที" โดยฐานของ URWERK SpaceTime Blade นั้นจะเป็นเม็ดมะยม ซึ่งเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่และดูสง่างาม โดยฐานเม็ดมะยมนี้สร้างขึ้นโดย Mr. Lukuvka ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างบล็อค จากขี้ผึ้งเพื่อหล่อฐานทองบรอนซ์ เขาเป็นช่างฝีมือที่มีความสามารถ ในการทำฐานเครื่องประดับ เป็นผู้ดูแลเทคนิคแบบดั้งเดิม ที่ปัจจุบันเกือบจะหายสาบสูญไปแล้ว ซึ่งใช้ในการสร้างผลงานที่ละเอียดอ่อน และชิ้นงานที่มีความวิจิตรบรรจง
เขาจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ในการแกะสลักบล็อก ซึ่งเป็นแม่พิมพ์สำหรับหล่อทองบรอนซ์หลอมเหลว จากนั้นฐานทองบรอนซ์ที่ได้จะถูกนำไปขัดเงาจนเกิดลวยลาย ซึ่งเป็นความพยายามที่ยิ่งใหญ่ในการดำเนินงานตามมาตรฐานของ URWERK นอกจากนี้ยังมีโดมแก้วที่ตั้งตระหง่านบนเม็ดมะยม ที่มีความหนาเท่ากันตั้งแต่ฐานไปจนถึงด้านบนที่โค้งมน ช่วยปกป้องมาตรแสดงของ SpaceTime Blade จากองค์ประกอบต่างๆ โดยข้างใต้จะมีหลอดไฟ Nixieแฮนด์เมดรูปทรงเปลวไฟ เรียงกันแปดดวงในแนวตั้ง ในหลอดแก้วทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่แต่ละหลอดผ่านการทดสอบ โดยแต่ละชิ้นจะหมุนวนอยู่ใต้เครื่องส่งประจุไฟฟ้า เพื่อให้ได้รูปลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งความมหัศจรรย์ของแก้วเหล่านี้ จะถูกเป่าขึ้นในเวิร์คช็อปของ Mr. Votrubec ในสาธารณรัฐเช็กซึ่งมีชื่อเรียกกันว่า "Crystal Valley"
ภายใต้การทำงานอันชาญฉลาดของ Dalibor Farny หลอดแก้วแต่ละหลอดจะกลายเป็นหลอดไฟ Nixie โดยมีแอโนดจัดเรียงอยู่ในตะแกรงโลหะ และแคโทดกลายเป็นตัวเลข สำหรับแต่ละหน่วยแสดงตั้งแต่ 0 ถึง 9 โดยมีความหนา 0.1 มิลลิเมตร ซึ่งแคโทดเหล็กจะได้รับการออกแบบ ในแบบอักษรตัวเลขที่ใช้ในที่นี้ ที่เหมือนกับแบบอักษรที่แสดงบนหน้าปัด URWERK เช่น 10 ต่อหลอด จากนั้นการสร้างสรรค์ทั้งหมดจะถูกประกอบอย่างประณีตทีละขั้น โดยใช้แหนบที่มีความแม่นยำ เช่นเดียวกับโครงสร้างที่ละเอียดอ่อนที่สุด ที่แต่ละจะหลอดประกอบไปด้วย 88 ส่วน ส่วนสัญลักษณ์ของ SpaceTime Blade จะปรากฏอยู่บนแผงโลหะ โดยเมื่อเปิดกระแสไฟ แสงสีส้มจะแสดงภาพอันมหัศจรรย์ของเวลาในเสี้ยววินาที พร้อมจอแสดงผลที่สามารถเปลี่ยนได้ถึง 500 ครั้งต่อวินาที
นอกจากนี้ยังมีรีโมทคอนโทรลที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน เพื่อปลุกโลกแห่งจินตนาการของไลท์เซเบอร์ โดยมีโหมดการแสดงผลให้เลือกถึง 8 โหมด ตั้งแต่การวัดเวลาไปจนถึงการคำนวณระยะทาง "เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น กล้องโทรทรรศน์และกล้องจุลทรรศน์ ตลอดจนนาฬิกาและเครื่องมือวัดอื่นๆ ส่วนใหญ่สร้างจากบรองซ์โดย SpaceTime Blade ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องมือดังกล่าวเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ผสมผสาน รหัสความงามจากโลกแห่งนิยายวิทยาศาสตร์ โดยคาดการณ์ถึงอิทธิพลของความนิยมและวัฒนธรรมในปัจจุบัน ดังนั้น SpaceTime Blade เป็นทั้งคล็อคและวัตถุทางศิลปะและการออกแบบ ซึ่งเป็นประติมากรรมแห่งกาลเวลา” Martin Frei ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ URWERK และผู้ร่วมก่อตั้ง Martin Frei กล่าวโดยสรุป
