Horological Machine No. 9 Sapphire Vision
เปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 Horological Machine No. 9 หรือชื่อเล่นว่า HM9 ‘Flow’ จากผลลัพธ์ของตัวเรือนที่สะท้อนถึงความปราดเปรียว และลื่นไหลแห่งยุคสมัยบวกกับเส้นสายตามหลักกลศาสตร์ ที่แม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นสะกดสายตาแต่ Maximilian Büsser ผู้ก่อตั้งแบรนด์ MB&F ก็ยังได้อธิบายถึงเครื่องยนต์ที่เป็นดั่งขุมพลังภายใน HM9 ใหม่นี้ว่า “เป็นกลไกอันสวยงามที่สุดเท่าที่เคยสร้างสรรค์มา” จากการติดตั้งเครื่องยนต์ของ HM9 นี้ไว้ภายใต้เปลือกแห่งกระจกแซฟไฟร์อันโปร่งใส ที่ทำให้เกิดผลงานสร้างสรรค์รุ่นใหม่เป็น HM9 ‘Sapphire Vision’ หรือฉายา HM9-SV
โครงร่างด้านนอกของกระจกแซฟไฟร์ ที่ผสมผสานด้วยโลหะล้ำค่า กับความโค้งและดูคล้ายกับฟองอากาศ ซึ่งติดตั้งอย่างแม่นยำด้วยสามส่วนประกอบ ก่อนจะผนึกด้วยการผสานอย่างได้สัดส่วน ของปะเก็นแบบสามมิติผ่านการจดสิทธิบัตร และกระบวนการหลอมองค์ประกอบสุดไฮเทค โดยบาลานซ์สองตัวซึ่งโผล่ขึ้นอย่างอิสระ ได้นำทางข้อมูลการแสดงผลไปสู่เฟืองท้าย ที่เปลี่ยนให้สองจังหวะการทำงานนี้ กลายเป็นชีพจรการแสดงเวลาที่สัมพันธ์กันในหนึ่งเดียว ขณะที่เกียร์รูปทรงกรวยที่มีความแม่นยำสูง ยังทำงานได้อย่างทรงประสิทธิภาพ จากพลังงานของเครื่องยนต์ให้ไหลผ่านในมุม 90 องศา
เพื่อแสดงเวลาในแนวตั้งที่เห็นได้บนหน้าปัดกระจกแซฟไฟร์ พร้อมทั้งความโดดเด่นและชัดเจน ด้วยสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา ในด้านกลับกัน แกนร่วมที่ติดตั้งอยู่ด้านใต้บาลานซ์แต่ละตัว ยังเป็นตัวขับเคลื่อน ที่ประกอบด้วยกังหันคู่ ซึ่งหมุนอย่างอิสระในฐานะองค์ประกอบ ของจุดดึงดูดสายตาอันบริสุทธิ์ที่น่าสนใจ และรอให้ใครบางคนได้เริ่มต้น ออกสำรวจพรมแดนแห่งจักรกลประเภทใหม่นี้ โดยหลังจากการริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานรุ่น HM9 Flow ‘Air’ และ ‘Road’ ผู้พิชิตทั้งบนผืนดินและท้องฟ้ามาแล้ว ทว่า ใน HM9-SV จะพาทุกคนดำดิ่งสู่ความลึกใต้ผืนมหาสมุทร
ซึ่งเป็นอาณาจักรท้ายสุดบนโลก ที่ยังคงกุมความลับซึ่งยังไม่เคยถูกเปิดเผยไว้อีกมากมาย โดยก่อนหน้านี้ ยังมีเรือสำรวจจากแอตแลนติส ที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีอันแตกต่าง ทั้งในรูปลักษณ์ที่คุ้นเคยและแสนแปลกประหลาดมาแล้วให้ผู้คนได้พบเห็น เช่นเดียวกันกับรูปลักษณ์ภายนอก กับเส้นสายของ HM9-SV ที่ได้ก้าวข้ามต้นแบบของผลงานรุ่นก่อนหน้าทั้ง Road และ Air ด้วยกฎแห่งพลังของของเหลว ที่ยังคงมีบทบาทสำคัญในงานออกแบบของรุ่น แม้ว่าวัตถุประสงค์ของการควบคุมด้วยของเหลวนั้นจะช่วยให้ HM9-SV มีความนุ่มนวลและโค้งมนมากขึ้น ภายในมุมแหลมคมต่างๆ อันรวมถึงความโค้งแบบวงกลมของเวอร์ชั่นก่อนหน้า
จากจุดยืนทางเทคนิคนี้ การทำงานขึ้นใหม่บนมิติต่างๆ จึงจำเป็นต้องนำมาปรับใช้เพื่อรับความแตกต่าง ด้านคุณสมบัติของวัสดุกระจกแซฟไฟร์ ที่แม้จะมีความแข็งแกร่งอย่างมาก แต่แซฟไฟร์ก็สามารถแตกหักได้ทันที ภายใต้แรงกดที่ซึ่งโลหะอาจเป็นแค่เพียงเปลี่ยนรูป ด้วยเส้นสายที่ราบเรียบขึ้นของ HM9-SV ยังลดทอนพื้นที่ซึ่งมีความเปราะบางทางจักรกลลง แต่ยังคงผนึกไว้ด้วยสุนทรียะความสวยงามแห่งท้องทะเล โดยเครื่องยนต์นั้นเดินรอยตามเส้นทางที่บุกเบิกไว้ โดยเครื่องยนต์ของ Horological Machines No. 4 และ No. 6 โดยหลอมรวมด้วยประเพณีการสร้างสรรค์โครงสร้างแห่งกลไก
ด้วยงานการประกอบเชิงสามมิติของเฟือง เกียร์ แท่นเครื่อง และสะพานจักรต่างๆ ภายใต้รูปทรงที่เหนือความคาดหมาย สำหรับบรรจุภายในตัวเรือนด้านนอกอันทรงพลัง และเป็นดั่งศูนย์รวมชีพจรของชิ้นส่วนจักรกล และภายใต้โครงร่างตัวเรือนผลึกคริสตัล พร้อมความถี่ในการทำงานทั่วไปที่ 2.5 เฮริท์ซหรือ 18,000 รอบต่อชั่วโมง ที่ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเครื่องบอกเวลายุคสมัยใหม่ แต่ยังคงอ่อนไหวต่อแรงสั่นสะเทือน ที่สัมพันธ์กับอัตราการทำงานที่ต่ำลง ดังนั้นทีมทำงานจึงทดแทนโดยการใช้บาลานซ์สองตัว แทนที่จะเป็นหนึ่งตัวหรือหากกล่าวในเชิงสถิติแล้ว
คือระบบการทำงานของกลไกที่คล้ายกันสองระบบ ซึ่งนำเสนอการอ่านค่าที่ดีกว่าหนึ่งระบบ ทั้งยังมอบผลลัพธ์ที่ต่างไปในหลากหลายแง่มุมอีกด้วย และเพื่อลดความอ่อนไหวต่อแรงสั่นสะเทือน HM9-SV จึงนำเสนอระบบรองรับแรงสั่นสะเทือนใหม่ ด้วยสปริงรูปทรงเกลียวที่จัดวางอยู่ระหว่างกลไกและตัวเรือน โดยสปริงนี้รังสรรค์ขึ้นด้วยเลเซอร์ จากหลอดแข็งของสตีลขัดเงา ซึ่งช่วยมอบความยืดหยุ่นที่ดีกว่า รวมไปถึงลดโอกาสของการเคลื่อนออกในแนวนอนที่จำกัด เพื่อทำหน้าที่ในการเฉลี่ยค่าเวลาจากบาลานซ์สปริงคู่ของเครื่องยนต์ รวมทั้งมีเฟืองท้ายแบบแพลเนตทารี (planetary differential) ภายในเกียร์บ็อกซ์ของกลไก
จากนั้นจะส่งการอ่านค่าสุดท้าย มายังการแสดงบนหน้าปัดเชิงตั้งฉาก โดยการคำนวณทางจักรกลอันซับซ้อนนี้ ได้เผยบางส่วนให้เห็นมาแล้วใน HM9 ‘Flow’ ด้วยกระจกแซฟไฟร์โดมโค้งที่จัดวางเหนือบาลานซ์แต่ละตัว และด้วยแผ่นขยายที่กองอยู่เหนือเฟืองท้ายแบบแพลเนตทารี ภาพที่มองเห็นจึงตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญ ในด้านความเที่ยงตรงของกลไก โดยทุกๆ มุมมองของเครื่องยนต์นั้นได้ถูกเผยออก เพื่อให้ได้ค้นพบจากมุมมองทางสายตาที่สามารถสำรวจถึงความซับซ้อนของชิ้นส่วน นับจากกระปุกลานจนถึงบาลานซ์ หรือจากเฟืองท้ายถึงหน้าปัด ที่ล้วนแล้วแต่บ่งบอกความเป็นนาฬิกากลไกอันโดดเด่น