1st GRAND SEIKO, 25th Anniversary of Caliber 9S
กลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัติคาลิเบอร์ 9S จาก GRAND SEIKO เป็นกลไกที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดที่เปิดตัวขึ้นในปี 1998 โดยถือเป็นตัวแทนแห่งการแสวงหาความเที่ยงตรง และแม่นยำระดับสูงอย่างไม่สิ้นสุดของ GRAND SEIKO รวมทั้งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งยุคใหม่ ในการผลิตนาฬิกาจักรกลของแบรนด์ ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเอง ‘GRAND SEIKO Standard’ จึงได้ถูกนิยามขึ้นโดยยกระดับมาตรฐานในการผลิตของแบรนด์ และกำหนดระดับประสิทธิภาพขึ้นใหม่ ที่เหนือกว่ามาตรฐานที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกนาฬิกา ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 25 ปีตั้งแต่กลไกคาลิเบอร์ 9S รูปแบบแรกได้ถูกพัฒนาสู่การเป็นซีรี่ส์กลไก ที่สมบูรณ์แบบด้วยฟังก์ชั่นการทำงานที่หลากหลาย เสริมประสิทธิภาพด้วยการใช้โลหะผสมชนิดใหม่ในส่วนของสปริงลานและสายใยจักรกลอก และด้วยวิศวกรรมเมมส์ (MEMS) ที่ทำให้สามารถผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญได้ด้วยความละเอียด และแม่นยำถึงระดับหนึ่งในพันของมิลลิเมตร จนทำให้กลไกคาลิเบอร์ 9S กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ในการสร้างกลไกจักรกลของ GRAND SEIKO ในเวลาต่อมา
รวมทั้งยังเป็นสิ่งที่นำไปสู่การสร้างสรรค์กลไกระดับปฏิวัติวงการ นั่นก็คือกลไกคาลิเบอร์ 9SA5ในปี 2020 ดังนั้นเมื่อมาถึงวาระครบรอบ 25 ปีของการสร้างสรรค์กลไกคาลิเบอร์ 9S แบบแรกมาถึง การฉลองจึงเกิดขึ้น ณ ด้วยการถือกำเนิดของ 2 ผลงานสร้างสรรค์สุดพิเศษจาก GRAND SEIKO ที่มาพร้อมดีไซน์ตัวเรือนและขนาดเช่นเดียวกัน กับนาฬิการุ่นแรกที่ทำงานดด้วยกลไกคาลิเบอร์ 9S ในปี 1998 จากการสร้างสรรค์ของ Nobuhiro Kosugi หัวหน้านักออกแบบของ GRAND SEIKO และทีมงานของเขา จากนาฬิการุ่นปี 1998 ที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความเที่ยงตรงแม่นยำ และความงดงามของกลไกที่อยู่ภายในให้โลกได้รับรู้ พร้อมความเชื่อมโยงที่ชัดเจนกับลักษณะแห่งคุณภาพ ที่ส่งเสริมการผลิตนาฬิกาของ GRAND SEIKO มาตั้งแต่ยุคแรก ซึ่งมีรูปแบบที่เรียบง่ายแต่น่าประทับใจ และเหมาะกับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน โดยมีลักษณะตัวเรือนและหน้าปัดที่เล่นกับแสงได้อย่างน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างความงาม ความเรียบง่าย และความเป็นเลิศได้อย่างตรงไปตรงมา
เข้ากับความปรารถนาที่สืบสานมาอย่างยาวนานของ GRAND SEIKO ที่ต้องการเป็นนาฬิกาสำหรับการใช้งานที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้เวลาจะล่วงเลยมา 25 ปีแล้ว ดีไซน์ตัวเรือนที่เป็นเอกลักษณ์ของนาฬิการุ่นนี้ ก็ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนาฬิกา GRAND SEIKO เรื่อยมา เช่นเดียวกับกลไกคาลิเบอร์ 9S ที่บรรจุอยู่ภายใน โดยหน้าปัดของนาฬิการุ่นใหม่นี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากทะเลเมฆแห่งภูเขาอิวาเตะ ที่ให้ลวดลายบนหน้าปัด พร้อมความละเอียดอ่อนและน่าพึงพอใจได้จากทุกมุมมอง มาพร้อมหน้าปัดสีเงินซึ่งมีพื้นผิวและสีสัน ที่ทำให้เห็นลักษณะของทะเลเมฆที่ปกคลุมภูเขาอิวาเตะ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตนาฬิกาจักรกลทุกรุ่นของ GRAND SEIKO พร้อมฉากทิวทัศน์นี้ที่จะมองเห็นได้เฉพาะขณะรุ่งสาง เมื่ออากาศนิ่งและมีความชื้นมาก จนมีเมฆหนาทึบซ้อนทับกัน จนเกิดเป็นทะเลสีขาวเงินอันงดงาม โดยเมื่อมองผ่านกระจกแซพไฟร์บนฝาหลังเข้าไป จะมองเห็นสัญลักษณ์ของ GRAND SEIKO ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งสัญลักษณ์นี้จะประดับอยู่ที่โรเตอร์สีฟ้า ที่เป็นสีที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับรุ่นนี้
เพื่อนำเสนอท้องฟ้าสีฟ้าเข้มเหนือทะเลเมฆ ที่มักแวดล้อมยอดเขาอิวาเตะอยู่เสมอ โดยสีสันเช่นนี้เกิดขึ้นได้จากกระบวนการ อโนดิคอ๊อกซิเดชั่นที่เป็นการสร้างพื้นผิว ที่เกิดจากการทำให้ผิวโลหะได้รับอิเล็กโทรลิซิส เพื่อสร้างชั้นฟิล์มอ๊อกไซด์เทียมขึ้น หลังจากนั้นฟิล์มไทเทเนียมอ๊อกไซด์ ก็จะสร้างสีตามดัชนีการหักเหของแสง ซึ่งทำให้สามารถผลิตเป็นสีสันต่างๆ ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนความหนาของฟิล์มอ๊อกไซด์ ที่ถือเป็นอีกหนึ่งในเทคนิคพิเศษจาก GRAND SEIKOในการรังสรรค์ความสวยงามต่างๆ ตามจินตนาการ ซึ้งผลงานสร้างสรรค์ชิ้นใหม่นี้ จะมาพร้อมกับกลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัติแบบไฮ-บีท 36000 คาลิเบอร์ 9S85 ให้อัตราความแม่นยำในระดับ +5 ถึง -3 วินาทีต่อวัน และมอบพลังสำรองลานได้นาน 55 ชั่วโมง ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 1,200 เรือนและจะเริ่มวางจำหน่ายเฉพาะช่องทางบูติคออนไลน์ของ GRAND SEIKOตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 จากนั้นจึงจะมีจำหน่ายที่บูติคนาฬิกา GRAND SEIKO ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 โดยมีราคาจำหน่ายในประเทศไทยที่ 262,100 บาท