LA ROSE CARRÉE by PARMIGIANI Fleurier
ในช่วงการครบฉลองรอบ 25 ปี PARMIGIANI Fleurier ได้เปิดตัวนาฬิกาที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างแท้จริงนั่นก็คือ La Rose Carrée นาฬิกาพกแบบดับเบิ้ลฮันเตอร์ในขนาด 64 มิลลิเมตร ที่ใช้ฝีมือในการผลิตขั้นสูงสุดและถือเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ โดยภายในมีกลไกการทำงานดั้งเดิมที่ผลิตโดยช่างซ่อมนาฬิกาในตำนานอย่าง Louis-Elisée Piguet ในช่วงปี 1898 และ 1904 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของความคิดสร้างสรรค์และงานฝีมือของเขา โดยนาฬิกาหายากในอดีตชิ้นนี้ ได้รับการบูรณะอย่างเต็มที่โดยคงไว้ซึ่งพื้นฐานดั้งเดิมทุกประการ การแกะสลักลวดลายRose Carrée หรือ “ดอกกุหลาบสี่เหลี่ยม” นั้นครอบคลุมไปทั่วทั้งหมด ตลอดจนการออกแบบใหม่ซึ่งมีกระบวนการเคลือบด้วยผงกรองด์เฟออันโปร่งแสง และทำให้เกิดเฉดสีฟ้าที่ซับซ้อน ดังนั้น La Rose Carrée จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเป็นอัจฉริยะของช่างทำนาฬิกาในยุคก่อน รวมทั้งช่างฝีมือที่มีพรสวรรค์ในปัจจุบัน ซึ่งการบรรจบกันของอดีตและปัจจุบันนี้ ถือเป็นงานประดิษฐ์นาฬิกา ศิลปะ และงานฝีมืออย่างแท้จริง
เรื่องราวของ La Rose Carrée เป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันมานาน ความบังเอิญ การรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม การเปลี่ยนแปลง การเกิดใหม่ และเหนือสิ่งอื่นใดคือความสวยงาม โดยในช่วงปลาย 90s Michel Parmigiani ได้ซื้อนาฬิกากลไกกรองด์ซองเนอรี ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Louis-Elisée Piguet ช่างซ่อมนาฬิกาผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียง และเป็นเวลานานกว่า 20 ปีแล้วที่นาฬิกาเรือนนี้ยังคงอยู่ในลิ้นชักเพื่อรอการบูรณะ ให้เกิดเป็นชีวิตใหม่ ดังนั้นในปีนี้ Guido Terreni ซีอีโอคนใหม่ของ PARMIGIANI Fleurier จึงตัดสินใจถึงการฉลองครบรอบ 25 ปีที่กำลังจะมาถึงของแบรนด์ที่สมควรจะมีภารกิจพิเศษเกิดขึ้น จึงได้ริเริ่มโครงการร่วมกับผู้ก่อตั้ง เมซง และตัว Michel Parmigiani หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการบูรณะนาฬิกาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก โดยโปรเจ็คท์นี้จะถือเป็นนาฬิกาซิกเนเจอร์ที่รวบรวมงานฝีมือของPARMIGIANI Fleurier ทั้งหมดทั้งจาก Michel Parmigiani วิสัยทัศน์ของ Guido Terreni และสิ่งที่ดีที่สุดของช่างฝีมือที่มีพรสวรรค์ที่อยู่ในเมซง
ในเวลาไม่ถึงสิบสองเดือน La Rose Carrée ก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยฝีมือของทีมที่นำโดยMichel Parmigiani และ Guido Terreni ซึ่งบรรจงบูรณะมรดกอันยอดเยี่ยมชิ้นนี้ขึ้นมา โดยกลไกกรองซองเนอรีได้รับการยกระดับสู่มิติใหม่ ด้วยประสบการณ์และทักษะที่ดีที่สุดของPARMIGIANI Fleurier ประกอบเข้ากับตัวเรือนไวท์โกลด์ที่ผ่านการตกแต่งอย่างหรูหรา จากการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างแตกต่าง โดยกลไกจาก Louis-Elisée Piguet คาลิเบอร์ 5802 ถือว่ามีความโดดเด่นและหายากจากช่วงประมาณปลายศตวรรษที่ 19 ในขณะที่ฝาครอบทั้งสองของตัวเรือนถูกแกะสลักด้วยมือที่มีฝีมือของ Eddy Jaquet ด้วยลวดลายที่เรียกว่า “Rose Carrée” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรูปแบบเส้นตรงที่กลีบกุหลาบใช้เมื่อเริ่มเหี่ยวเฉา และยังได้รับการแกะสลักด้วยมืออย่างพิถีพิถันและอุตสาหะ โดยจะมีรูปแบบที่เป็นไปตามอนุพันธ์ทางคณิตศาสตร์ ซึ่งจะพบเห็นได้ทุกที่ในธรรมชาติตั้งแต่ต้นไม้ พืช จนไปถึงเปลือกหอย
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบฝาครอบตัวเรือน ทั้งภาพสะท้อนของดอกกุหลาบทรงเรขาคณิตอันละเอียดอ่อน ที่ลอยอยู่ในระลอกคลื่นบนผืนน้ำทะเลสีฟ้าอันลึกล้ำ ซึ่ง Michel Parmigiani กล่าวว่า "สีฟ้าของ La Rose Carrée แสดงถึงสีของผืนน้ำอย่างที่ใครๆ ก็มองเห็นได้จากท้องฟ้า ด้วยความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในเฉดสีฟ้าตามความลึกต่างๆ แม้ว่าสีน้ำเงินจะเป็นสีที่สื่ออารมณ์ได้เสมอสำหรับ Michel แต่ดอกกุหลาบสีน้ำเงินสำหรับเขานั้นเป็นสีที่ดีเลิศและหายากที่สุด กุหลาบมักถูกมองว่าเป็นดอกไม้ที่ใครๆ ก็อยากได้ สง่างาม และมีชื่อเสียงมากที่สุด ดังนั้นการเพิ่มสีน้ำเงินลงในสมการนี้จึงจะสร้างสัญลักษณ์แห่งความลึกลับและบรรลุถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ขึ้นมา ซึ่งการเคลือบสีน้ำเงินสามถึงสี่ชั้นนั้น จะถูกเคลือบอย่างพิถีพิถันโดย Vanessa Lecci ซึ่งเธอได้เพิ่มความลึกและสีสันให้กับงานแกะสลักให้งดงามยิ่งขึ้น แม้ว่าการลงยาในพื้นที่ที่กว้างมากกว่าปกติ จะถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ไม่ธรรมดาสำหรับวงการนาฬิกาเลยก็ตาม
แม้ห่างกันถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี Louis-Elisée Piguet และ PARMIGIANI Fleurier ต่างก็ทำหน้าที่สร้างนาฬิกาที่งดงามอย่างแท้จริง แม้ยุคสมัย ทักษะ และรสนิยมจะต่างกันมาก แต่แนวคิด เทคนิค และความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขาต่างก็ยังคงเหมือนกันทั้งหมด ดังนั้นจึงถือได้ว่า La Rose Carrée เป็นเรือนเวลาที่สร้างสายสัมพันธ์อันมีชีวิตระหว่างพวกเขา ที่เกิดจากกลไก เสียง ความงดงาม และทักษะเชิงช่างระดับสูง