OMEGA Seamaster Aqua Terra Tokyo 2020 รุ่นใหม่ล่าสุด
OMEGA ผู้บอกเวลาอย่างเป็นทางการของมหกรรมกีฬาโอลิมปิกมาตั้งแต่ปี 1932 และจะได้ทำหน้าที่นี้เป็นครั้งที่ 29 ในการแข่งขันอันทรงเกียรติที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ ณ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถ้าจะมีใครที่เชี่ยวชาญในด้านความเที่ยงตรง ความเยี่ยมยอด และพันธกิจที่ต้องการจะก้าวสู่จุดสูงสุดบนแท่นรับรางวัลในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ผู้นั้นย่อมต้องเป็น OMEGA!
นาฬิกา OMEGA Seamaster Aqua Terra รุ่นใหม่มาในขนาดตัวเรือน 38 มิลลิเมตร หรือ 41มิลลิเมตร และต่างโดดเด่นด้วยตัวเรือนที่ผลิตจากเยลโลว์โกลด์ที่ส่องประกายเงางาม โดย OMEGA เลือกใช้ทองคำ 18K ในการผลิตเสมอมา และได้รับการยอมรับว่าเป็นวัสดุคุณภาพสูง สำหรับการผลิตเครื่องบอกเวลาและเครื่องประดับ ด้วยคุณสมบัติอันสมดุลทั้งด้านความบริสุทธิ์และความสามารถในการใช้งานได้จริง
สายหนังสีน้ำเงินช่วยเติมเต็มสองเรือนเวลา หน้าปัดที่ผลิตจากเซรามิคขัดเงาสีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งผ่านการแกะสลักด้วยเลเซอร์ เป็นลวดลายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสัญลักษณ์ของมหกรรมกีฬาโอลิมปิก Tokyo 2020 นอกจากนี้ยังสามารถพบสัญลักษณ์นี้ได้เช่นกันบนฝาหลัง ทำงานด้วยกลไกระดับ Co-Axial Master Chronometer ที่รับประกันถึงมาตรฐานสูงสุดในด้านความเที่ยงตรง ประสิทธิภาพ และคุณสมบัติการต้านทานสนามแม่เหล็กที่สูงที่สุด ในอุตสาหกรรมผู้ผลิตเรือนเวลาจากสวิส
และเป็นการสมควรอย่างยิ่ง ที่หนึ่งในผู้ที่จะได้สวมใส่เรือนเวลารุ่นนี้เป็นรายแรกๆ ก็คือ Michael Phelps นักกีฬาโอลิมปิกที่ได้รับเหรียญมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยเหรียญรางวัลโอลิมปิกถึง 28 เหรียญ โดยเป็นเหรียญทองกว่า 23 เหรียญ ซึ่ง Michael ก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว OMEGA มาตั้งแต่ปี 2004 และเป็นผู้ที่ตระหนักดีถึงความสำคัญของเวลาที่มีต่อนักกีฬา
Michael Phelps
Michael เล่าว่า “ถ้าคุณเป็นนักกีฬาโอลิมปิก หรือพยายามจะไปให้ถึงโอลิมปิก ก็ต้องอาศัยความทุ่มเทชนิด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ ไม่มีหยุดพัก ทำทั้งวันทั้งคืน” และ Michael รู้ว่าสิ่งใดจะช่วยพาเขาให้คว้าเหรียญทองที่มั่นหมาย “การเตรียมตัวให้พร้อมจริงๆ สำหรับมหกรรมกีฬาโอลิมปิก คือจะต้องใช้เวลา ต้องก้าวข้ามอุปสรรค ผมเข้าร่วมมาแล้วห้าครั้ง และไม่เคยง่ายเลยในทุกครั้ง แต่ผมรู้ดีว่าสิ่งที่ทุ่มเทไป จะตอบแทนเป็นผลลัพธ์อย่างที่ผมสมควรจะได้รับ”
เรือนเวลา OMEGA Seamaster Aqua Terra Tokyo 2020 Gold Editions รุ่นใหม่ยังมาพร้อมกับกล่องนาฬิกาแบบพิเศษและการรับประกันถึง 5 ปีเต็ม โดยนาฬิกาในขนาดตัวเรือน 41 มิลลิเมตร Ref. 522.53.41.21.03.001 จะมีราคาจำหน่ายในประเทศไทยที่ 642,000 บาท และนาฬิกาในขนาดตัวเรือน 38 มิลลิเมตร Ref. 522.53.38.20.03.001 จะมีราคาจำหน่ายที่ 618,000 บาท