GRAND SEIKO Sport Collection, Ref. SBGC240
นาฬิการุ่นใหม่กับวาระการฉลองครบรอบ 140 ปีของบริษัทจากการก่อตั้งของ Kintaro Hattori ในปี 1881 และนำพาบริษัทจนประสบความสำเร็จ ซึ่งแม้เขาจะเสียชีวิตเมื่ออายุ 73 ปีในปี 1934 แต่ความเชื่อของเขากับวลีที่ให้ “นำหน้าผู้อื่นหนึ่งก้าวเสมอ” ยังคงเป็นปรัชญาสำคัญของบริษัทเสมอมา และแม้ว่า GRAND SEIKO จะยังไม่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นจนกระทั่งปี 1960 แต่แนวคิดต่างๆ ของเขาก็มีอยู่ในนาฬิกา GRAND SEIKO อย่างครบถ้วนทั้งในเรื่องการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ ความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีการผลิต และการตกแต่งอย่างประณีตในทุกอนูของนาฬิกา
ดังนั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติในวาระการครบรอบ 140 ปีของการก่อตั้งบริษัท GRAND SEIKO จึงภูมิใจนำเสนอนาฬิกากลไกสปริงไดร์ฟโครโนกราฟ รุ่นใหม่ที่สะท้อนวิสัยทัศน์ของ Kintaro Hattori ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยนาฬิกาที่ผนวกวัสดุเซรามิคเซอร์โคเนียกับเยลโลว์โกลด์ ในรูปลักษณ์ใหม่ที่งามประณีต โดยผสานการทำงานที่เหนือชั้นของกลไกสปริงไดร์ฟ เข้ากับกลไกโครโนกราฟ ในรหัสกลไกคาลิเบอร์ 9R86 ด้วยการออกแบบใหม่และการผสมผสานของวัสดุที่แตกต่าง ออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ได้คือนาฬิกาที่งามประณีตอย่างแท้จริง และมีขอบเบเซิลที่ดึงดูดสายตาในทันทีด้วยรูปทรง 12 เหลี่ยม
ที่มองเห็นมุมต่างๆ ได้ชัดเจน โดยวัสดุชั้นนอกจะผลิตจากเป็นเซรามิคเซอร์โคเนีย (Zirconia Ceramic) และมีฐานของขอบที่ผลิตจากวัสดุเยลโลว์โกลด์ ซึ่งถือเป็นการผสมผสานวัสดุที่มีทั้งความสวยงามโดดเด่น และความทนทานสูงเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีเอกลักษณ์ โดยตัวเรือนก็ยังใช้ความแตกต่างเพื่อดึงดูดสายตาเช่นกัน ทั้งพื้นผิวด้านบนที่ได้รับการตกแต่งด้วยลายริ้วที่บางเฉียบราวกับเส้นผม ในขณะที่ด้านข้างแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบของความมันเงาแวววาว ที่ทำให้เกิดภาพสะท้อนที่ไม่บิดเบือน ซึ่งมีเพียงเทคนิคการขัดเงาแบบซารัทซึ ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของนาฬิกาจาก GRAND SEIKO เท่านั้นที่จะทำได้
พื้นหน้าปัดมีความสมบูรณ์แบบและงดงาม เช่นเดียวกับความชัดเจนในการอ่านค่าเวลา โดยมีชุดเข็มและมาร์กเกอร์สีทองอันโดดเด่นอยู่บนหน้าปัดสีดำ ซึ่งมาร์กเกอร์แต่ละตำแหน่งจะถูกจัดวางให้ตรงกับเหลี่ยมมุมบนขอบตัวเรือนทั้ง 12 ทั้งทำให้การอ่านค่าของการแสดงเวลา และการจับเวลาสามารถทำได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยมีปุ่มกดที่ผลิตจากเยลโลว์โกลด์ สำหรับการใช้งานจับเวลาของกลไกโครโนกราฟ ที่มีความโดดเด่นและได้รับการออกแบบมา เพื่อให้การจับเวลาเป็นไปอย่างปลอดภัย ในขณะที่สามารถใช้งานได้ง่าย และเพิ่มความหรูหราเมื่ออยู่ใต้แขนเสื้อเชิ้ต
ตัวเรือนสตีลขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 43.8 มิลลิเมตร หนา 16.1 มิลลิเมตร กระจกแซฟไฟร์ทรงโค้งคู่เคลือบสารป้องกันแสงสะท้อน ฝาหลังแบบขันเกลียวกรุกระจกแซฟไฟร์ เม็ดมะยมแบบขันเกลียวแน่น โดยมีความสามารถในการกันน้ำที่ 10 บาร์ และความสามารถในการป้องกันสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ที่ 4,800 แอมป์/เมตร ใช้งานคู่กันกับสายสตีลพร้อมบานพับล็อคสายแบบ 3 ทบและปุ่มกดคลายล็อค พร้อมโลโก้ประดับบนบานพับของสายนาฬิกาอย่างงามสง่า และยังมีทางเลือกกับสายหนังจระเข้ ที่เย็บริมด้วยด้ายสีทองรับกับตัวเรือน โดดเด่นด้วยโลโก้และชื่อแบรนด์บนหน้าปัดที่ผลิตจากเยลโลว์โกลด์เช่นเดียวกัน
ทำงานด้วยกลไกสปริงไดร์ฟโครโนกราฟ เอกสิทธิ์เฉพาะของ GRAND SEIKO ที่แบรนด์ภูมิใจนำเสนอ กับกลไกชุดที่ถือว่ามีความแม่นยำมากที่สุดในโลกชุดหนึ่ง โดยสามารถให้อัตราความแม่นยำได้ถึงในระดับ +/- 1 วินาทีต่อวัน ไม่ว่าจะมีการใช้งานฟังก์ชั่นโครโนกราฟหรือไม่ และนอกจากนี้ยังสามารถจับเวลาได้อย่างต่อเนื่องอย่างยาวนานถึง 12 ชั่วโมง จากระบบการปรับตั้งที่เปี่ยมเอกลักษณ์ของกลไกสปริงไดร์ฟ ที่ให้ความแม่นยำในระดับสูงตลอดเวลา แม้ว่าจะมีระดับพลังงานสำรองลานมากสุดหรือเหลือน้อยสุดก็ตาม โดยจะให้พลังสำรองลานนาน 72 ชั่วโมงเต็มเมื่อขึ้นลานเต็มชุด
โดยสิ่งที่สำคัญพอๆ กันก็คือการจับเวลาที่จะทำงานในเสี้ยววินาทีที่กดปุ่ม เพื่อให้ความแม่นยำในการแสดงค่า ที่มั่นใจได้ด้วยจักรคอลลัมน์วีลและเวอร์ติคัลคลัทช์ ซึ่งใช้ร่วมกันเป็นครั้งแรกในปี 1969 โดยชุดกลไกคาลิเบอร์ 9R86 นี้จะประกอบไปด้วยชิ้นส่วนมากกว่า 400 ชิ้น และประกอบขึ้นด้วยมือโดยช่างฝีมือที่มีความชำนาญทั้งชายและหญิงในชินชูวอทช์สตูดิโอ โดยนาฬิการุ่นนี้ผลิตในแบบจำนวนจำกัดเพียง 500 เรือนทั่วโลก และจะวางจำหน่ายเฉพาะในบูติคนาฬิกา GRAND SEIKO และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับสิทธิ์ทั่วโลกในเดือนกรกฎาคม 2021 โดยจะมีราคาจำหน่ายในประเทศไทยที่ 642,000 บาท