Masterpiece Collection, Ref. SBDG207 from GRAND SEIKO
คอลเลคชั่น Masterpiece ถือเป็นคอลเลคชั่นระดับสูงสุดของ GRAND SEIKO ซึ่งจะมีเพียงนาฬิกาไม่กี่รุ่นเท่านั้น ที่จะถูกสร้างสรรค์อย่างปราณีตบรรจง และจัดให้อยู่ในคอลเลคชั่นนี้ พร้อมด้วยจำนวนการผลิตแบบจำกัด ซึ่งจะมีเพียงช่างนาฬิการะดับสูงเพียงไม่กี่คน ที่จะมีความสามารถถึงระดับการผลิตนาฬิกาในคอลเลคชั่นนี้ได้
และสำหรับนาฬิกาใน Ref. SBGD207 การผสานกันระหว่างมุกและโกเมนสีเขียว ที่ให้สัมผัสอย่างเป็นธรรมชาติ ถูกคัดเลือกให้เป็นนาฬิการะดับสูงสุดของแบรนด์ในปี 2020 มาพร้อมกับตัวเรือนแพลทตินัมและกลไกแบบสปริงไดร์ฟ โดยออกแบบจากแรงบันดาลใจของทิวทัศน์ยามเช้าในช่วงฤดูหนาว ในพื้นที่แถบชินชู แหล่งที่ตั้งของไมโครอาร์ติสสตูดิโอ สถานที่ซึ่งนาฬิกาเรือนได้รับการผลิต
โดย GRAND SEIKO เลือกมุมมองที่ต่างออกไปในการนำเสนอ นาฬิกาในคอลเลคชั่นของการฉลองครบรอบ 140 ปีของการก่อตั้งบริษัท กับภาพของทิวทัศน์ทางธรรมชาติที่สวยงามและมีความหลากหลาย ซึ่งสระน้ำมิชากะที่ซึ่งมีเฉดน้ำสีเขียวอันไม่มีที่สิ้นสุด จะสะท้อนแสงในน้ำที่ใสและนิ่งเรียบ พร้อมหลบซ่อนสายตาของผู้คนอยู่ลึกเข้าไปข้างในป่า ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของทะเลสาบซูวะไม่ไกลจากชิโอจิริ
น้ำที่ใสบริสุทธิ์นี้ถือเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงต้นไม้ ที่เติบโตอยู่ข้างริมฝั่งโดยมีสีเขียวที่มีโทนสีนับไม่ถ้วน และถือเป็นความงดงามอันน่าทึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อน ซึ่งความสงบเงียบจะเข้าโอบล้อมโดยรอบ และชวนให้ผู้มาเยือนทุกคนหลงใหล รวมไปถึงจิตรกร Kaji Higashiyama ที่มีผลงานที่ชื่อว่า Vibrant Green ซึ่งเปิดตัวในปี 1982 และได้สะท้อนถึงความงดงามของสระน้ำแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
พื้นหน้าปัดเปลือกหอยมุกที่มากับโทนสีเขียว พร้อมมาร์กเกอร์ที่ใช้โกเมนสีเขียวเช่นกัน กับกลไกการทำงานแบบสปริงไดร์ฟอันโดดเด่น นำเสนอเส้นทางแห่งเวลาที่มาพร้อมความเงียบสงบ ของบรรยากาศโดยรอบสระน้ำมิชากะ ซึ่งการได้เห็นความไหลลื่นของเข็มวินาทีที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ไปตามจุดต่างๆ บนหน้าปัดอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นประสบการณ์ในการสัมผัสธรรมชาติแห่งเวลา ในรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
การคัดเลือกโกเมนสีเขียวและเพชรตัดเหลี่ยม แบบปลายสอบลงอย่างใส่ใจและพิถีพิถัน เพื่อใช้เป็นมาร์เกอร์ชั่วโมง 12 เม็ดและพื้นที่ๆ เหลือสำหรับนาที ในขณะที่แผ่นพื้นหน้าปัดจะผลิตจากไวท์โกลด์ เพื่อเพิ่มมิติที่ชัดลึกและยกระดับความสวยงามของหน้าปัดขึ้นอีก โดยมีเพชรอีกหนึ่งชุดจัดวางเรียงรายต่อกัน และอยู่รอบวงนอกของหน้าปัดอีกชั้น ซึ่งจะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความชำนาญการของช่างฝีมือในทุกขั้นตอน
เพชรทั้งหลายจะถูกฝังไปในรางคู่ที่มีขนาดบางมากอย่างแม่นยำ โดยช่างผู้มีทักษะในระดับสูงของชินชูวอทช์สตูดิโอ ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับไมโครอาร์ติสสตูดิโอที่โรงงานในชิโอจิริ โดยเพชรทั้งหลายจะถูกจัดวางในแนวนอนอย่างแม่นยำ เพื่อสามารถรับแสงได้อย่างเต็มที่ โดยมีโกเมนสีเขียวในตำแหน่ง 12 นาฬิกาจะมีขนาดกว้างกว่าชิ้นอื่นๆ เพื่อความสะดวกในการอ่านค่า
กลไกสปริงไดร์ฟคาลิเบอร์ 9R01 ที่ให้พลังสำรองลานยาวนานถึง 8 วัน จากตลับลานที่มากถึง 3 ชุดที่ส่งกำลังแบบไล่ตามลำดับ และให้ความเที่ยงตรงในระดับ +/- 10 วินาทีต่อเดือน โดยสามารถมองเห็นได้ผ่านทางฝาหลังที่กรุกระจกแซฟไฟร์ พร้อมเข็มแสดงพลังสำรองลาน และการขัดแต่งอย่างงดงามของแท่นกลไกแบบชิ้นเดียว ซึ่งออกแบบให้มีรูปทรงคล้ายภูเขาไฟฟูจิ โดยมีเม็ดทับทิมสะท้อนถึงแสงไฟของเมืองซูวะยามค่ำคืน
ตัวเรือนและบานพับผลิตจากแพลทตินัม ประดับเพชรจำนวน 97 เม็ด (ประมาณ 2.58 กะรัต) และโกเมนสีเขียว 24 เม็ด (ประมาณ 0.63 กะรัต) กรุด้วยกระจกแซฟไฟร์ทรงยกสูง พร้อมเคลือบสารป้องกันการสะท้อนแสง พร้อมความสามารถในการกันน้ำที่ระดับ 10 บาร์ และการป้องกันสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ระดับ 4,800 แอมป์/เมตร โดยมีขนาดตัวเรือนที่ 43 มิลลิเมตร หนา 13.5 มิลลิเมตร ใช้งานกับสายหนังจระเข้สีดำเงา
ซึ่งตัวเรือนผลิตจากแพลทตินัมนี้ จะได้รับการขัดแต่งจนเงางามในระดับสูงสุดด้วยเทคนิคซารัทซึ ซึ่งต้องมีการปรับแต่งการทำงาน เพื่อให้การขัดสอดคล้องกับวัสดุอย่างแพลทินัมโดยเฉพาะ อันทำให้เกิดพื้นผิวที่เงางามดั่งกระจกและไม่สะท้อนภาพที่ผิดเพี้ยนออกมา โดยมีสันเหลี่ยมที่เฉียบคมบนตัวเรือน ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นผลงานอันโดดเด่นอีกชิ้น ที่เป็นส่วนหนึ่งแห่งความงดงามของ GRAND SEIKO
ผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ GRAND SEIKO ใน Ref. SBGD207 เรือนนี้จะมีการผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันเพียง 15 เรือนทั่วโลกเท่านั้น และจะมีจำหน่ายเฉพาะในบูติคของนาฬิกา GRAND SEIKO ที่ได้รับการคัดเลือกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2021 เป็นต้นไป โดยจะมีราคาจำหน่ายในประเทศไทยที่ 6,619,000 บาท