เผยโฉมนาฬิกาซีรี่ส์ใหม่จาก GRAND SEIKO GMT เพื่อฉลองความงามของ 4 ฤดูกาล
ฤดูกาลในประเทศญี่ปุ่นจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ฤดู และใน 4 ฤดูยังถูกแบ่งย่อยออกเป็นอีก 6 ช่วง โดยทั้ง 4 ฤดูกาลจะมีลักษณะความโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป การเปลี่ยนแปลงจากฤดูกาลหนึ่งไปยังอีกฤดูกาลหนึ่ง จะเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน และทำให้เวลามีความใกล้ชิด กับความรู้สึกของเรามากยิ่งขึ้น
ช่วงฤดูที่ถูกเลือกจะประกอบไปด้วย Shunbun (ชุนบุน - ฤดูใบไม้ผลิ), Shosho (โชโฉะ - ฤดูร้อน), Kanro (คังโร - ฤดูใบไม้ร่วง) และ Toji (ฤดูหนาว) ซึ่งนาฬิกาในรุ่น Shunbun และ Shosho จะนำเสนอในกลไกอัตโนมัติคาลิเบอร์ 9S86 ซึ่งเป็นกลไกความถี่สูงระดับ 36,000 รอบต่อชั่วโมง ในขณะที่นาฬิกาในรุ่น Kanro และ Toji จะนำเสนอในกลไกสปริงไดร์ฟคาลิเบอร์ 9R66
นาฬิกาในรุ่น Shunbun Ref. SBGJ251 จะนำเสนอภาพของฤดูใบไม้ผลิ ที่ถือเป็นการเดินทางของวันที่มีช่วงเวลากลางวันและกลางคืนที่เท่ากัน และสามารถสัมผัสถึงฤดูใบไม้ผลิได้อย่างเต็มปอด จากอากาศที่อยู่รายล้อมรอบต้นซากุระ ที่เติบโตบนภูเขาและเริ่มผลิบาน โดยดอกซากุระจะกระจายตัวประดับประดาอยู่บนเนินเขาอย่างงดงาม ในลักษณะเดียวกันกับหน้าปัดที่จะมีทั้งสีเขียวและสีโรสโกลด์ สะท้อนถึงคำสัญญาของฤดูใบไม้ผลิอย่างสมบูรณ์แบบ
นาฬิกาในรุ่น Shosho Ref. SBGJ249 เป็นตัวแทนของช่วงเวลาที่ฤดูฝนสิ้นสุดลง และฤดูร้อนกำลังย่างกรายเข้ามา ซึ่งในช่วงนี้เองที่สายลมอันอบอุ่น ได้สร้างระลอกคลื่นอันละเอียดอ่อน ในทะเลสาบและแอ่งน้ำหลายพันแห่งทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับทอแสงระยิบระยับท่ามกลางแดดของช่วงต้นฤดูร้อน และทำให้ลายคลื่นนี้ปรากฏอยู่อย่างงดงามบนหน้าปัดนาฬิกาอย่างมีชีวิต
นาฬิกาในรุ่น Kanro Ref. SBGE271 จากแรงบันดาลใจของช่วงเวลาเย็นยามตะวันตกดิน ในขณะที่จะมีอากาศที่เย็นสบายในช่วงเช้า พร้อมกับเข็มวินาทีที่เคลื่อนตัวอย่างเงียบๆ บนหน้าปัด ราวกับดวงจันทร์ที่เคลื่อนตัวผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ที่ซึ่งฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้นมาจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายแล้ว
นาฬิการุ่น Toji Ref. SBGE269 นำปรากฏการณ์ของช่วงเวลากลางคืนอันยาวนานกว่ากลางวัน ของประเทศในแถบซีกโลกเหนือมาใช้กับหน้าปัดนาฬิกา ที่สื่อถึงจุดเริ่มต้นของฤดูหนาวที่มีอากาศแจ่มใสและปลอดโปร่ง พร้อมกับหิมะที่ล่องลอยไปตามเสียงแห่งลม กับพื้นผิวและสีที่สะท้อนถึงทิวทัศน์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ตะวันกำลังจะคล้อยลับไปกับขอบฟ้า
กับตัวเรือนที่โค้งมนอย่างนุ่มนวลพร้อมกับขอบที่คมและมีเหลี่ยมมุมอย่างโดดเด่น ตามแบบฉบับสไตล์คลาสสิคของ GRAND SEIKO พร้อมขอบตัวเรือนที่ได้รับการขัดแต่งด้วยเทคนิคซารัทซึ ที่สะท้อนภาพให้เห็นราวกระจกใสและปราศจากความผิดเพี้ยนจากพื้นผิว ซึ่งไม่ว่าจะในกลไกอัตโนมัติหรือกลไกสปริงไดร์ฟ ก็จะสามารถชื่นชมการทำงานและรายละเอียดของการขัดแต่งอันประณีต ของชุดกลไกได้ผ่านทางกระจกแซฟไฟร์บนฝาหลัง
นาฬิการุ่น Shunbun และ Shosho จะมีตัวเรือนสตีลในขนาด 39.5 มิลลิเมตร หนา 14.1 มิลลิเมตร พร้อมสายสตีล ทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติ ที่มีความเที่ยงตรงในระดับ +5 ถึง -3 วินาทีต่อวัน และมีพลังสำรองลานนาน 55 ชั่วโมง ในขณะที่นาฬิการุ่น Kanro และ Toji จะมีตัวเรือนสตีลในขนาด 40.2 มิลลิเมตร หนา 14.0 มิลลิเมตร พร้อมสายสตีล ทำงานด้วยกลไกสปริงไดร์ฟ ที่มีความเที่ยงตรงในระดับ +/-1 วินาทีต่อวัน (+/-15 วินาทีต่อเดือน) และมีพลังสำรองลานนาน 72 ชั่วโมง
โดยนาฬิกาทั้ง 4 รุ่นจะมีฟังก์ชั่นจีเอ็มที เพื่อแสดงเวลาไทม์โซนที่ 2 พร้อมสายสตีลและบานพับแบบ 3 ทบและปุ่มกดคลายล็อคสาย กระจกแซฟไฟร์ทรงยกสูง พร้อมเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อน และฝาหลังที่กรุกระจกแซฟไฟร์ โดยมีความสามารถในการกันน้ำในระดับ 3 บาร์และ 10 บาร์ พร้อมความทนทานต่อสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในระดับ 4,800 แอมป์/เมตร โดยนาฬิการุ่น Shunbun และ Shosho จะมีราคาจำหน่ายในประเทศไทยที่ 250,000 บาท และนาฬิกาในรุ่น Karo และ Toji จะมีราคาจำหน่ายที่ 223,000 บาท