GRAND SEIKO Heritage Collection, Ref. SBGD201 และ Ref. SBGD202
จากแรงบันดาลใจของท้องฟ้ายามค่ำคืน ในบริเวณภูเขาที่รายล้อมสตูดิโอไมโครอาร์ทิส สู่นาฬิการะดับสูงจาก GRAND SEIKO ที่เลือกใช้เฉพาะตัวเรือนแบบโรสโกลด์ หรือแพลทตินัม ซึ่งเป็นวัสดุระดับสูงเพื่อให้เหมาะกับกลไกการทำงานอันแสนวิจิตรของนาฬิการุ่นนี้
สตูดิโอไมโครอาร์ทิสแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 2004 โดยรวบรวมทีมงานชั้นยอด ที่มีทั้งทักษะและความชำนาญระดับสูงสุดเข้าไว้ด้วยกัน จนทำให้สตูดิโอแห่งนี้มีความสามารถในการผลิตกลไกชั้นสูงสุดของโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นกลไกแบบมินิทรีพีทเตอร์ หรือแม้กระทั่งกลไกแบบซองเนอรี
จากจุดประสงค์ของสตูดิโอไมโครอาร์ทิส ที่มุ่งมั่นสร้างนาฬิกาที่มีความน่าเชื่อถือ และสามารถตกทอดไปจนถึงชั่วลูกชั่วหลานได้ เพื่อให้เป็นความภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่น ซึ่งสตูดิโอแห่งนี้ก็ได้สร้างกลไกนาฬิกาชั้นสูงออกสู่ตลาดมากมาย รวมไปถึงกลไกสปริงไดร์ฟชุดใหม่ที่ใช้กับนาฬิกาในสอง Ref. นี้ด้วย
สำหรับรุ่นแบบตัวเรือนโรสโกลด์ จะพิเศษด้วยหน้าปัดที่มีมิติที่ลึกและทำให้นาฬิกาดูหนักแน่น กับสีดำสนิทของมวลหมู่ดวงดาว ที่ส่องแสงระยิบระยับในค่ำคืนอันมืดสนิท ที่มาจากกระบวนการผลิตแบบพิเศษ ที่เป็นการผสมผสานกันของการเคลือบและทาสี จนได้เป็นสีดำที่ลึกลับและชวนให้ค้นหา
และสำหรับรุ่นแบบตัวเรือนแพลทตินัม จะงดงามด้วยหน้าปัดสีขาวบริสุทธิ์ พร้อมละอองเพชรในแบบเดียวกันกับรุ่งอรุณแห่งฤดูหนาวในแถบซูวะ อันเป็นพื้นที่ในแถบที่ตั้งของสตูดิโอไมโครอาร์ทิส และทำให้องค์ประกอบอันเรียบง่ายนี้ เกิดความแตกต่างได้อย่างเหนือชั้น
ในขณะเดียวกันที่ประกายระยิบระยับของดวงดาวบนหน้าปัดที่เปล่งแสง สะท้อนเข้ากันกับมาร์กเกอร์และเข็มแสดงเวลา ที่ผ่านการขัดแต่งจนเงาแวววาวสะท้อน กับทุกประกายแสงที่สาดส่องเข้าไปบนหน้าปัด ซึ่งลักษณะอันโดดเด่นของการขัดแต่งนี้ จะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของนาฬิกาจาก GRAND SEIKO เท่านั้น
ด้วยความเงาแวววาวประดุจกระจกเงา อันเกิดจากการขัดแต่งด้วยเทคนิคซารัทซึ ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของนาฬิกาทุกเรือนจาก GRAND SEIKO ที่เกิดจากประสบการณ์และความสามารถ ด้านการผลิตในรูปแบบเฉพาะตัว ที่ใช้ทั้งความเพียรพยายาม และระยะเวลาในการผลิต ของช่างแต่ละคนกับงานแต่ละชิ้นด้วยมือล้วน
นอกจากนี้นาฬิกาในสอง Ref. นี้ยังเป็นนาฬิกาสองรุ่นแรกที่ผลิตจากสตูดิโอไมโครอาร์ทิส ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตนาฬิกาในระดับสูงสุดของ SEIKO ซึ่งตั้งอยู่ที่ชิโอจิริในนากาโน่ โดยสตูดิโอแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา และสร้างนาฬิการะดับสูงสุดของแบรนด์ แม้กระทั่งนาฬิกาในฟังก์ชั่นมินิทรีพีทเตอร์อีกด้วย
นาฬิกาในสอง Ref. นี้ใช้กลไกอินเฮ้าส์แบบสปริงไดร์ฟใหม่ในคาลิเบอร์ 9R01 ที่โดดเด่นด้วยพลังสำรองลานที่ยาวนานสูงสุดได้ถึง 8 วัน อันเกิดจากนวัตกรรมของบาร์เรลที่มีถึง 3 ชุด และช่วยให้สามารถเก็บพลังงานสำรอง ได้อย่างยาวนานกว่าปกติมากถึง 250 เปอร์เซ็นท์
แสดงชั่วโมง นาที และวินาทีบนหน้าปัด และระดับพลังสำรองลานบนแท่นกลไก ที่สามารถมองเห็นได้ผ่านทางกระจกแซฟไฟร์ด้านหลัง ที่ยึดกับขอบฝาหลังด้วยสกรูว์ และความสามารถด้านการกันน้ำที่ระดับ 10 บาร์ พร้อมระบบการป้องกันคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับความเที่ยงตรงสูงสุดในระดับ +/- 10 วินาทีต่อเดือน
แท่นกลไกด้านหลัง ที่ประกอบไปด้วยบริจด์ชิ้นเดียว ที่นอกจากการขัดแต่งด้วยมือในแบบลายซาตินแล้ว ยังมีเหลี่ยมและมุมของขอบ ที่ผ่านการขัดเงาในแบบเดียวกับกระจก พร้อมรูปทรงของบริจด์ ที่มีสันเหลี่ยมตามลักษณะของภูเขาไฟฟูจิ อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นนาฬิการะดับสูงจากประเทศญี่ปุ่น
ตัวเรือนผลิตจากแพลทตินัม หรือโรสโกลด์ขนาด 43 มิลลิเมตร หนา 13.2 มิลลิเมตร กระจกแซฟไฟร์แบบบ็อกซ์ เพื่อเน้นความโดดเด่นให้กับหน้าปัด พร้อมเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนที่ด้านใน ใช้งานคู่กันกับสายหนังจระเข้ และบานพับสามทบแบบปลดล็อคด้วยปุ่มกดด้านข้าง
โดยนาฬิกา GRAND SEIKO Heritage Collection ใน Ref. SBGD202 แบบตัวเรือนโรสโกลด์ และหน้าปัดสีดำพร้อมประกายดาวระยิบระยับ จะมีราคาจำหน่ายในประเทศไทยที่ 1,528,000 บาท และใน Ref. SBGD201 แบบตัวเรือนแพลทตินัม พร้อมหน้าปัดสีขาวกับประกายเพชร ในราคาจำหน่ายที่ 2,153,000 บาท