Special Project One, Part III

และสำหรับในแง่ของภาพลักษณ์ สามองค์ประกอบที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่เท่ากัน จะช่วยเพิ่มความซับซ้อนให้กับการออกแบบ โดยมีสถาปัตยกรรมแบบบาร์เรลเดี่ยวที่ถูกแขวนอย่างสวยงาม ซึ่งช่วยเสริมเอฟเฟ็คท์ในการลอยตัว และยังเป็นความท้าทายที่แท้จริงสำหรับนักออกแบบกลไก โดยมีบาลานซ์วีลที่หมุนในตำแหน่ง 2 นาฬิกา เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้สวมใส่ ราวกับจานบินที่ลอยอยู่ในอากาศ แบบในโลกแห่งจินตนาการของ Max ที่ทุกสิ่งดูเหมือนจะลอยได้ และหน้าปัดนี้ก็สอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว

 

youtube f6aee71caea7d79d6322681ad5319af2

 

โดยมีการเอียงที่ได้สัดส่วนพอเหมาะ ที่ช่วยเน้นความชำนาญของ MB&F ในด้านการออกแบบเฟืองทรงกรวย ซึ่งฟีจเจอร์นี้เป็นความท้าทายที่ยากในการสร้าง ให้ประสบความสำเร็จในขณะที่ยังคงความน่าเชื่อถือ ของการแสดงค่าเวลาไว้ โดยการออกแบบแบบนี้ถือว่าหาได้ยากในวงการนาฬิกา แต่จะเพิ่มมิติที่ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ที่แม้จะเต็มไปด้วยความซับซ้อนทางวิศวกรรม แต่รูปแบบนาฬิกาเรือนนี้จะกลับเผยให้เห็น โครงสร้างที่เรียบง่ายและมีเอกลักษณ์ เพื่อช่วยให้เข้าใจหลักการทำงาน

 

Screenshot 2568 11 04 at 23.38.05

 

ของนาฬิกากลไกได้เป็นอย่างดีและเหนือความคาดหมาย โดยสิ่งที่ล้อมรอบกลไกเรือนนี้คือสิ่งที่ Max เรียกอย่างขี้เล่นว่า “อัฒจันทร์” โดยมีขอบหน้าปัดที่ผ่านการเจียระไนอย่างประณีต สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของโรงละครแบบกรีก-โรมัน พร้อมทำหน้าที่เสมือนเวทีที่สะท้อน ถึงความงดงามและซับซ้อนของกลไก ให้โดดเด่นราวกับนักสู้ในสนามประลอง ที่แค่เพียงพลิกนาฬิกากลับด้าน ก็จะพบกับอีกมุมของอัฒจันทร์ในผลงานนี้ ซึ่งเผยให้เห็นการตกแต่งด้วยมืออันประณีตพร้อมความใส่ใจ

 

Screenshot 2568 11 03 at 19.43.27

 

ในรายละเอียดทุกขั้นตอน สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของ MB&F ที่ยังคงรักษาไว้ซึ่งศิลปะการขัดแต่งด้วยมือแบบดั้งเดิม ซึ่งปัจจุบันมีเพียงนาฬิกาไม่กี่แบรนด์ ในอุตสาหกรรมที่ยังสืบสานงานฝีมือชั้นสูงนี้ พร้อมกลิ่นอายของความเป็น MB&F ที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ที่ไม่ใช่เพียงเพราะความกล้าที่จะสร้าง ความประหลาดใจหรือการเลือกเดิน บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงเท่านั้น หากแต่เป็นเพราะความใส่ใจ ในทุกรายละเอียดของกลไก ซึ่งสะท้อนถึงสายสัมพันธ์อันดี ของผลงานในนาฬิกาตระกูลเดียวกัน

 

Screenshot 2568 11 05 at 00.02.08

 

อันเป็นความท้าทายในเรื่องการรักษา ความประณีตและความสง่างามไว้อย่างสมดุล ขณะเดียวกันก็ยังคงยึดมั่นในรูปแบบที่ดูคลาสสิค จากฟันเฟืองทุกชิ้นที่ผ่านการขัดมุมด้วยมือ เสริมด้วยตลับลูกปืนชาโตง ที่โดดเด่นและสะดุดตา โดยมีส่วนผิวสัมผัสของชุดกลไก ที่ได้รับการขัดแต่งอย่างบรรจง ทั้งแบบลายซาติน การขัดเงา และไมโครบลาสท์ ที่ร่วมกันสร้างสมดุลแห่งพื้นผิวที่เปี่ยมไปด้วย งานศิลป์ที่ดูมีชั้นเชิงและลูกเล่นในทุกมิติ ในรูปทรงที่น่าพึงพอใจ ที่นอกเหนือจากโครงสร้างกลไกอันแหวกแนว

Screenshot 2568 11 03 at 19.54.25

 

 

พร้อมการตกแต่งด้วยมือแบบดั้งเดิมแล้ว การออกแบบตัวเรือนทรงกลมมนยังช่วยเสริมให้นาฬิการุ่น SP One มีความโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก และแม้ว่านาฬิกาจะมีความบางเฉียบ แต่กลับให้ความรู้สึกในแบบสามมิติ ที่โดดเด่นในลักษณะที่ตรงกันข้าม เช่นเดียวกับก้อนกรวดที่มีพื้นผิวเรียบเนียน ซึ่งได้รับการขัดเกลาโดยการไหล ของน้ำในลำธารมานานหลายปี ในตัวเรือนขนาด 38 มิลลิเมตร ที่ออกแบบให้ดูโฉบเฉี่ยวคล้ายกับ ยานอวกาศที่ไร้ขอบตัวเรือน โดยมีกระจกแซฟไฟร์ที่ผสานอย่างไร้รอยต่อ

 

Screenshot 2568 11 03 at 19.55.13

 

ระหว่างด้านหน้าและด้านหลังของตัวเรือน ซึ่งการออกแบบนี้ช่วยให้เกิดเอฟเฟ็คท์ ของการลอยตัวที่น่าดึงดูดสายตา และยังถูกเน้นย้ำด้วยการออกแบบจุดเชื่อมสายที่ชาญฉลาด ที่ไม่ได้เชื่อมกับตัวเรือนด้านบนโดยตรง แต่ถูกยกขึ้นจากตัวเรือนด้านล่าง เพื่อสร้างช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างจุดเชื่อมสาย ที่ขัดเงาด้วยมือและส่วนบนของตัวเรือน ซึ่งรวมกันให้ความรู้สึกเรียบลื่นในการสัมผัส เช่นเดียวกับรูปลักษณ์ที่เห็น และชวนให้ลูบไล้ตามเส้นโค้งของตัวเรือน ราวกับยานยูเอฟโอขนาดเล็กที่ลงจอดบนข้อมือ

 

20250220 MBFSP1 022

 

ผสานการออกแบบที่ไม่ธรรมดา เข้ากับความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ และถึงแม้ว่านาฬิการุ่นSP One จะเป็นนาฬิกาที่บางที่สุดของ MB&F แต่ก็ไม่ได้มุ่งหวังที่จะแข่งขัน ในฐานะนาฬิกาที่บางที่สุดในโลก แต่กลับเป็นการสะท้อนถึงการสร้าง ความสมดุลที่ลงตัวในด้านการออกแบบและสัดส่วน โดยให้ความสำคัญกับความสวยงาม และศิลปะที่เหนือกว่าความบาง เพื่อบรรลุความสมดุลที่ตั้งใจไว้ ซึ่งโดยสรุปจาก MB&F ก็คือความที่ไม่มีอะไรคลาสสิค ในสิ่งที่เรียกว่าความคลาสสิคนั่นเอง