WATCHES & WONDERS Geneva 2025, Part III

WATCHES & WONDERS Geneva 2025 สร้างสถิติใหม่ด้วยจำนวนผู้เข้าชมรวมกว่า 55,000 คนตลอดทั้งสัปดาห์ โดยมีการจำหน่ายตั๋วไปกว่า 23,000 ใบสำหรับช่วงสามวันสุดท้ายที่เปิดให้เข้าชมได้สำหรับบุคคลทั่วไป, เยาวชนกว่า 10,000 คน, สื่อมวลชนกว่า 1,600 แห่ง และจำนวนผู้เข้าพักในเจนีวาอีกกว่า 43,000 ห้อง ยืนยันถึงความสนใจจากทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นจนกลายเป็น “สิ่งที่ต้องเข้าร่วม”
งาน WATCHES & WONDERS Geneva 2025 ที่นำผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนาฬิกามารวมตัวกัน ในฐานะของผู้จัดแสดงนาฬิกาแห่งเจนีวา และในฐานะเมืองหลวงแห่งโลกของนาฬิกา พร้อมต้อนรับทั้งผู้ค้าปลีก สื่อมวลชน ผู้สนใจ และผู้เชี่ยวชาญเรื่องนาฬิกาจากทั่วโลกมารวมตัวกันในช่วง 4 วันแรก ก่อนการเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ในช่วงระหว่างวันที่ 5 ถึงวันที่ 7 เมษายน 2025
กับ RAYMOND WEIL ที่มีการนำเสนอนาฬิการุ่น Freelancer Complete Calendar ที่มาทั้งในโทนสตีลสายสตีล หรือแบบสตีลสีโรสโกลด์พร้อมสายหนังวัว ที่ให้ลุคความหรูหราในแบบกลไกชั้นสูง และ Millesime Automatic Small Seconds Menthol Minute Track Watch ในขนาด 35 มิลลิเมตรที่ตอกย้ำความสำเร็จของนาฬิการุ่นนี้ ที่มาพร้อมขนาดที่เหมาะกับข้อมือคนเอเชียและให้ลุควินเทจมากยิ่งขึ้น
ส่วน TUDOR มากับนาฬิการุ่น Black Bay Chrono ที่ต่อยอดจากเดิมด้วยสายสตีลแบบ 5 ข้อ และ Black Bay Pro กับหน้าปัดสีโอพาลีนใหม่ที่ให้ลุคที่แตกต่าง รวมทั้ง Black Bay 58 ในโทนสีเบอร์กันดีทั้งบนขอบเบเซิลและหน้าปัด พร้อมกับชุดกลไกใหม่ที่มาพร้อม การรับประกันด้านความเที่ยงตรง METAS รวมทั้ง Black Bay 68 ที่เปลี่ยนชื่อจาก Black Bay เดิมพร้อมโทนสีใหม่ดำ/น้ำเงิน ของขอบเบเซิลและหน้าปัด
และ CARTIER กับทัพนาฬิการุ่นใหม่ที่น่าตื่นเต้นทั้ง Tank Louis Cartier ที่มาในขนาดที่ใหญ่ขึ้นพร้อมตัวเรือนทั้งโรสโกลด์และเยลโลว์โกลด์ พร้อมกลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัติ และที่เด่นที่สุดในงานกับ Tank à Guichets กับสไตล์ที่แตกต่างพร้อมนำเสนอในหลายรูปแบบ รวมทั้ง Santos ในขนาดที่เล็กลงสำหรับคุณสุภาพสตรี และ Santos-Dumont Skeleton ใหม่สำหรับปีนี้ในตัวเรือนโรสโกลด์
ในขณะที่ TAG Heuer ชูภาพของความเป็นนาฬิกาสำหรับฟอร์มูล่าวัน กับการนำเสนอนาฬิการุ่น Formula 1 Solargraph ในขนาดที่ใหญ่ขึ้นเป็น 38 มิลลิเมตรพร้อมสีสันใน 9 แบบโดยยึดเอาสีสันจากสนามแข่งมาใช้ นอกจากนี้ยังมีนาฬิการุ่น Carrera Day-Date กลไกอัตโนมัติขนาด 41 มิลลิเมตรที่มีการปรับปรุงใหม่ในสไตล์เดิม รวมทั้งนาฬิการุ่น Monaco Exceptional Pieces ที่ถือเป็นความพิเศษสุดของแบรนด์
กับ Panerai, The New Luminor Marina ที่นำเสนอในเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ที่มีการพัฒนามาจากพื้นฐานดั้งเดิมของนาฬิกาในช่วงปี 1960s โดยมีหน้าปัดให้เลือกในหลายสีสัน รวมทั้งสายทั้งสตีลและหนังจระเข้ รวมทั้งนาฬิกาเรือนเด่น Luminor Perpetual Calendar GMT Platinumtech ที่มาพร้อมกลไกเพอเพทชวลคาเลนดาร์ ในรูปแบบตัวเรือนของ Luminor พร้อมความโดดเด่นของหน้าปัดโปร่งใสสีน้ำเงิน
ส่วน Speake-Marin มาพร้อมกับ Ripples Skeleton ตัวเรือนสตีลขนาด 40.30 มิลลิเมตร ที่มีความบางเพียง 6.30 มิลลิเมตรผนวกสายสตีลแบบอินทริเกรด ให้ลุคเรียบหรูที่มาพร้อมความคอมพลิเคทของกลไกชั้นสูง นอกจากนี้ยังเป็นการกลับมาของนาฬิกาในคอลเลคชั่น Piccadilly รุ่น Resilience ในตัวเรือนแบบเรดโกลด์ขนาด 38 มิลลิเมตรหนา 10.5 มิลลิเมตร ที่หวนอดีตอันแสนหวานของแบรนด์กลับมา
และ FERDINAND BERTHOUD กับ Chronomètre FB35PC.1 ในหน้าปัดสีสันใหม่ทั้งโทนสีแซลมอน หรือในโทนสีแอนทราไซท์ที่ให้ลุคที่แตกต่างจากเดิม โดยยังคงจุดเด่นของไซลินดริคัลบาลานซ์สปริงเอาไว้เช่นเดิม พร้อมความพิเศษของชุดกลไกที่สามารถสัมผัสได้ ทั้งทางด้านหน้าของตัวเรือนและทางด้านหลัง ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของชุดกลไก ที่มีชื่อเสียงและยอมรับกันมาแล้วทั่วโลก
ในขณะที่ ARNOLD & SON นำเสนอเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของแบรนด์จากอดีต กลับมาสู่ผู้คนอีกครั้งกับชุดคอนสแตนท์ฟอร์ซตูร์บิยอง ที่มองเห็นได้อย่างโดดเด่นที่สุดบนหน้าปัด ณ บริเวณ 4 นาฬิกา ในขณะที่คงหน้าปัดย่อยเพื่อแสดงค่าเวลาชั่วโมงและนาทีไว้ ณ ตำแหน่ง 10 นาฬิกา ผนวกเข้ากับความเรียบง่ายของตัวเรือนและองค์ประกอบต่างๆ รวมไปถึงชุดแท่นกลไกด้านหลังที่สร้างมนต์ขลังได้ดี
กรุณาติดตามบทความครั้งสุดท้ายของ WATCHES & WONDERS Geneva 2025 ได้ในครั้งต่อไป