20th Anniversary of Spring Drive from GRAND SEIKO
กลไกสปริงไดรฟ์เริ่มต้นขึ้นด้วยแนวคิด ในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่เมื่อปี 1970 เพื่อที่จะสร้างนาฬิกาในอุดมคติขึ้นมา โดยการผสานพลังงานที่ได้จากสปริงลาน เข้ากับเทคโนโลยีในการผลิตนาฬิกา แบบอีเล็กทรอนิคส์เพื่อให้เกิดความเที่ยงตรงและแม่นยำ ในระดับที่นาฬิกากลไกจักรกลแบบเดิมไม่สามารถทำได้ ซึ่งเป็นระยะเวลาหลายปีนับจากนั้นเป็นต้นมา ที่เทคโนโลยีระดับปฏิวัติวงการดังกล่าวนี้ ได้ถูกพัฒนาจนคู่ควรกับนาฬิกา GRAND SEIKO ในยุคปัจจุบัน
โดยกลไกดังกล่าวนี้ได้รับรหัสคาลิเบอร์ 9R และจากการที่ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 20 ปีจึงมีการนำเสนอนาฬิกากลไกสปริงไดรฟ์รุ่นใหม่ 2 รุ่นจากคอลเลคชั่น Elegance ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการฉลองวาระสำคัญนี้ โดยนาฬิกาทั้ง 2 รุ่นต่างก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความงาม อันกลมกล่อมของทิวเขาโฮทากะ ที่ถูกอาบด้วยแสงแดงระเรือในยามพระอาทิตย์ขึ้น และการเปลี่ยนสีของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ที่มอบความสดใส ให้กับทิวทัศน์ท่ามกลางแสงแดดในยามเช้า
โดยทิวเขาโฮทากะนั้นตั้งตระหง่านอย่างงามสง่า ในภูมิภาคชินชูซึ่งอยู่ทางตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น อันเป็นแหล่งกําเนิดของนาฬิกาสปริงไดรฟ์ทุกรุ่นของ GRAND SEIKO ด้วยแรงบันดาลใจจากแสงตะวันในยามเช้าของทิวเขาโฮทากะ และการไล่เฉดสีของใบไม้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่งดงามจับใจขณะอาบแสงในยามรุ่นอรุณ ที่สะท้อนให้เห็นถึงช่วงขณะเวลาพระอาทิตย์ขึ้น จากขอบฟ้าเมื่อทิวทัศน์อันสูงชันของทิวเขาโฮทากะ เปลี่ยนฉากเป็นสีแดงอันสดใสจากแสงอาทิตย์
และสาดส่องจนเกิดประกายแวววาวบนใบไม้ ในฤดูใบไม้ร่วงอันเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ของทิวทัศน์ยามรุ่งอรุณเมื่อผ่านพ้นความมืดมิด ซึ่งทิวทัศน์อันสวยงามนี้ แสดงออกด้วยสีแดงเข้ม ณ บริเวณส่วนริมขอบของหน้าปัด และจะค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ เมือคืบคลานเข้าสู่บริเวณส่วนกลางของหน้าปัด และเมื่อรวมเข้ากับการขับเคลื่อนอย่างเงียบสงบ ของเข็มแสดงค่าเวลาวินาทีจากกลไกสปริงไดรฟ์แล้ว หน้าปัดของนาฬิการุ่นนี้จึงเป็นการจับภาพของการล่วงผ่าน
ตามธรรมชาติของกาลเวลาได้อย่างงดงาม พร้อมการแสดงถึงการผสานความบาง และความเที่ยงตรงแม่นยําได้อย่างน่าทึ่ง ในตัวเรือนที่มีความหนาเพียง 10.2 มิลลิเมตร แต่สามารถให้พลังสํารองลานได้อย่างยาวนานถึง 72 ชั่วโมง พร้อมมอบความเที่ยงตรงและความแม่นยําสูงถึงระดับ +/- 15 วินาทีต่อเดือน โดยใช้งานคู่กันกับสายหนังจระเข้สีแดงน้ำตาล ในจำนวนการผลิตแบบลิมิเต็ดเอดิชั่นจำนวน 700 เรือนทั่วโลก และจะพร้อมจำหน่ายในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2024
พร้อมกันนี้ยังมีนาฬิกาอีกหนึ่งเรือน ที่มีหน้าปัดสีแดงสดพร้อมการทำงานด้วยกลไกสปริงไดรฟ์ จากการถ่ายทอดภาพทิวเขาโฮทากะ และฤดูใบไม้ร่วงอันงดงามที่อาบด้วยแสงแดดสีทองในยามเช้า พร้อมมาตรแสดงพลังสํารองลานบนพื้นสีโรสโกลด์ ซึ่งจมลึกเข้าไปในพื้นหน้าปัด เพื่อช่วยเสริมสร้างมิติชวนมองให้กับนาฬิกา ทั้งยังเป็นการเพิ่มความชัดเจนในการอ่านค่า และมอบความโดดเด่นที่แสดงให้เห็น ถึงการออกแบบหน้าปัดในภาพรวมได้เป็นอย่างดี
ส่วนสีโรสโกลด์ของตราสัญลักษณ์ GS และสีสันอันสดใสของหน้าปัดสีแดง ก็สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่าน สีของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงได้อย่างน่าประทับใจอีกด้วย โดยจะมีการผลิตในแบบจํานวนจํากัดที่ 1,300 เรือน พร้อมการทำงานด้วยกลไกคาลิเบอร์ 9R65 ซึ่งเป็นกลไกคาลิเบอร์แรกของตระกูล 9R ที่ให้ความมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพการทํางาน อันเป็นที่ประจักษ์มาแล้วด้วยการใช้กับนาฬิกา GRAND SEIKO รุ่นต่างๆ มากมายมาอย่างยาวนาน โดยนาฬิการุ่นนี้จะพร้อมจำหน่ายตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 เป็นต้นไป