PONTOS S DIVER 2024
จนต่อมาในปี 2016 ที่ MAURICE LACROIX มีการแนะนำนาฬิการุ่น AIKON ที่ออกแบบมาในสไตล์ชีวิตคนเมืองสู่ตลาด และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จนทำให้แบรนด์ต้องผลักดันงานการผลิตไปให้กับนาฬิการุ่นนี้ และยุติการผลิตนาฬิกาแบบดำน้ำไปโดยปริยาย ซึ่งอย่างไรก็ตาม ยังมีเสียงเรียกร้องให้นำนาฬิกา Pontos กลับสู่สายการผลิตอีกครั้ง และนำมาสู่การแนะนำนาฬิกา Pontos S Diver ใหม่ที่มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมเล็กน้อย เพื่อให้สวมใส่ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาในอีกหลายส่วน โดยยังคงกลิ่นอายดั้งเดิมของนาฬิกา Pontos จากปี 2013 ไว้เช่นเดิม แต่เลือกพัฒนาในส่วนของความเป็นนาฬิกาดำน้ำ ในแบบที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตคนเมือง โดยในปีนี้เป็นการนำเสนอในสองแบบ คือแบบลิมิเต็ดเอดิชั่นตัวเรือนบรองซ์ และรุ่นพิเศษตัวเรือนสตีลดีแอลซีสีดำ พร้อมคุณสมบัติในการกันน้ำได้ลึกถึง 300 เมตร ที่ทั้งสองรุ่นจะมีสไตล์ที่เหนือระดับกว่าเดิม เพื่อพร้อมเปล่งประกายความงามทั้งภายใต้แสงแดด หรือภายใต้แสงไฟนีออนในตึก
รุ่นแรกจะนำเสนอในแบบจำนวนการผลิตจำกัดที่ 888 เรือน โดยมาในตัวเรือนบรองซ์ขนาด 42 มิลลิเมตรพร้อมหน้าปัดสีดำ กับเข็มแสดงเวลาและมาร์กเกอร์ในโทนสีทอง ผนวกด้วยการแต้มสารเรืองแสงซุปเปอร์-ลูมิโนว่า ให้รูปลักษณ์ที่ดูสบายๆ และเท่ห์ได้อย่างโดดเด่น มาพร้อมสายหนังสไตล์วินเทจสีน้ำตาล ที่มอบทั้งสีสันและฟิลลิ่งแบบวินเทจให้กับนาฬิกาและผู้สวมใส่ เข้าคู่กันกับชุดล็อคสีบรองซ์ ให้ลุคสุดชิคสำหรับวิถีคนเมืองในช่วงหน้าร้อนนี้
ในขณะที่ตัวเลือกที่สองจะเป็นรุ่นพิเศษ ที่เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบในการผจญภัยยามค่ำคืน โดยสีของหน้าปัดจะเป็นการผสมผสานกันระหว่างสีขาว สีดํา และสีเหลือง ที่ตัดกันและสามารถแสดงข้อมูลบนหน้าปัดได้อย่างชัดเจน โดยโทนสีขาว/เหลืองจะแลดูมีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้น เมื่ออยู่คู่กับตัวเรือนสตีลดีแอลซีสีดำขนาด 42 มิลลิเมตรที่ดูคล่องแคล่ว มาพร้อมการเคลือบสารเรืองแสงซุปเปอร์-ลูมิโนว่า ที่ช่วยให้สามารถอ่านค่าเวลาได้ในที่มืด
มาพร้อมสายยางสีดำที่กระชับเข้ากับทุกขนาดข้อมือ พร้อมชุดล็อคสตีลดีแอลซีสีดำ แบบพ่นทรายเข้ากันกับตัวเรือน โดยนาฬิกาทั้งสองรุ่นจะมีเม็ดมะยมอีกเม็ด ณ ตำแหน่ง 2 นาฬิกาเพื่อควบคุมการเลื่อนสเกลในขอบตัวเรือนด้านใน เพื่อใช้เตือนความจำระหว่างการทำงานต่างๆ จากแนวคิดของนาฬิกาดำน้ำ ที่ใช้เตือนนักดำน้ำให้ทราบถึงเวลาในที่ต้องเตรียมขึ้นจากน้ำ และสำหรับนาฬิกาทั้งสองรุ่นนี้ จะทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติคาลิเบอร์ ML115
มาพร้อมระบบการเปลี่ยนสายอย่างง่ายดายตามสไตล์ของ MAURICE LACROIX โดยผู้ใช้งานไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ เพิ่มเติม ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบายในทุกวัน ตามสไตล์ของวิถีคนเมืองในแบบเออร์บันจังเกิ้ล โดยสามารถชมนาฬิกาเรือนจริงทั้งสองในวันนี้ได้แล้วที่บูติคแบรนด์นาฬิกา MAURICE LACROIX ณ เกษรทาวเวอร์ชั้น 2 ทุกวันในเวลาทำการ