Royal Oak, lady’s favorite from AUDEMARS PIGUET, Part II
อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้นาฬิกา AUDEMARS PIGUET รุ่น Royal Oak โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเลดี้ไซส์ดูโดดเด่นมากก็คือ หน้าปัดโทนสีซิลเวอร์ที่มีการแกะสลักลาย Mega Tapisserie หรือ Grande Tapisserie ในหลายรุ่น ที่ต้องยอมรับว่าสามารถสร้างความหรูหราเข้ากันกับขอบเบเซิลที่ดูสปอร์ตได้ดีมาก ซึ่งนอกจากจะทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งในเอกลัษณ์ของนาฬิการุ่นนี้แล้ว ยังทำให้หน้าปัดดูมีสเน่ห์มากขึ้นอีกด้วย
ซึ่งจุดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่น ที่สามารถทำให้นาฬิการุ่น Royal Oak นี้เป็นนาฬิกาสปอร์ตแบบหรูหราได้พร้อมกันในเรือนเดียว และยิ่งไปกว่านั้นมาร์กเกอร์และเข็มทั้งสองที่ใช้กับหน้าปัดของ Royal Oak รุ่นต่างๆ นี้ ในหลายๆ รุ่น ก็ยังใช้วัสดุทองคำที่ทำให้หน้าปัดมีความเงาแวววาวมากขึ้น รวมไปถึงวัสดุแบบแบล็คเคนด์โกลด์ ซึ่งมีลักษณะเหลือบสีดำและให้ความแวววาวเช่นเดียวกัน
อีกส่วนหนึ่งที่ต้องพิจารณาสำหรับนาฬิการุ่นนี้ก็คือรูปแบบและขนาด เนื่องจาก Royal Oak มีการผลิตในขนาด 33 มิลลิเมตร ในขณะที่ Royal Oak Offshore จะมีขนาด 37 มิลลิเมตรและหนามากกว่า ซึ่งภาพรวมที่ช่วยในการตัดสินใจได้อย่างหนึ่งก็คือ Royal Oak จะเน้นการออกแบบให้ดูหรูหรา ในขณะที่ Royal Oak Offshore จะดูหรูหราผนวกความเป็นนาฬิกาสปอร์ตสูงขึ้นมากกว่า Royal Oak อีกหนึ่งระดับ
และเนื่องจาก Royal Oak Offshore มีตัวเรือนที่หนาและบึกบึนมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะประดับเพชรมาให้ด้วย สำหรับคุณสุภาพสตรีหัวใจสปอร์ตที่ไม่เคยขาดความหรูหรา ซึ่งอย่างไรก็ตามความหนาของ Royal Oak Offshore นี้ก็มาจากการที่เลือกใช้กลไกอัตโนมัติเท่านั้น สำหรับคุณสุภาพสตรีที่ชื่นชอบในความเป็นกลไก และต่างจากรุ่น Royal Oak ที่จะมีเพียงแต่แบบกลไกควอท์ซเท่านั้น
ดังนั้นในปีนี้ AUDEMARS PIGUET จึงเปิดตัวนาฬิการุ่น Royal Oak สำหรับคุณสุภาพสตรีในแบบกลไกอัตโนมัติ พร้อมขนาดตัวเรือนที่ 34 มิลลิเมตร ที่ยังคงความบางไว้ได้ดีในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยนำเสนอในหลากหลายรูปแบบ ทั้งตัวเรือนแบบสตีลยอดนิยม สตีลประดับเพชรที่ขอบเบเซิลยอดนิยมอีกเช่นกัน แบบสองกษัตริย์ และแบบโรสโกลด์ประดับเพชรที่ขอบเบเซิล ซึ่งถือเป็นทางเลือกสำคัญของนาฬิการุ่นนี้อีกครั้ง
นาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดนี้ใช้กลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัติคาลิเบอร์ 5800 ที่ช่วยทำให้ตัวเรือนมีความหนาเพียง 8.8 มิลลิเมตร ทำงานที่ความถี่ 28,800 รอบต่อชั่วโมง พร้อมพลังสำรองลานนาน 50 ชั่วโมง โดยมีฝาหลังที่กรุกระจกแซฟไฟร์ ที่ทำให้สามารถมองเห็นการกวัดแกว่งของโรเตอร์ที่ผลิตจากทองคำได้ และยังทำให้เห็นความแตกต่างจากรุ่นกลไกควอท์ซที่จะเป็นฝาหลังแบบทึบอีกด้วย
นาฬิการุ่น Royal Oak ในขนาด 34 มิลลิเมตร กลไกอัตโนมัตินี้ จะเป็นอีกหนึ่งตัววัดในด้านความนิยมของนาฬิการุ่นนี้ในตลาดสำหรับคุณสุภาพสตรี เนื่องจาก Royal Oak สำหรับคุณสุภาพสตรีขาดรูปแบบนาฬิกากลไกไปจากตลาดระยะหนึ่งแล้ว ในขณะที่ตลาดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีความต้องการนาฬิกาในระดับนี้ พร้อมกลไกอัตโนมัติที่ทาง AUDEMARS PIGUET ขาดหายไป และมาเติมเต็มล่าสุดในปีนี้