OHM Cocktail with Music Marketing for OMEGA
ผมไม่ใช่เป็นคนสะสมมนาฬิกา ผมชอบ แต่ไม่ได้ชอบนาฬิกาไปทั่ว คือตั้งแต่เด็ก เนื่องจากคุณแม่ผมเป็นดีไซน์เนอร์ เค้าตั้งชื่อผมว่าโอม เวลาเค้าเขียนการ์ดวันเกิดให้ผม ก็จะมีเครื่องหมายโอมใส่มาด้วยเสมอ คือเค้าจะบอกว่าสัญลักษณ์นี้คือชื่อลูก ตอนนั้นราว สี่-ห้าขวบเราก็ยังไม่มีความรู้อะไร ว่านาฬิกามีราคาอย่างไง รู้แต่ว่านี่เป็นชื่อเรา ก็จะมีอิมเพรชชั่นแค่นั้นแต่ก็ฝั่งอยู่ในใจตลอดมา
แล้วผมเองก็เป็นคนชอบเครื่องยนต์กลไก พอโตขึ้นมาหน่อยได้รู้จัก OMEGA Speedmaster ครั้งแรกก็ชอบเลย เพราะชอบนาฬิกาแบบที่มีหน้าปัดเยอะๆ อยู่แล้ว และยิ่งด้านหลังสามารถเห็นชุดกลไก แล้วพอมารู้ทีหลังว่านาฬิการุ่นนี้มีราคาในระดับนึงแต่ไม่ได้มากเกินไป เพราะส่วนตัวผมก็เป็นคนที่ไม่ได้ใช้ของมีราคามากมายเป็นประจำไร ก็เลยค่อยๆ ใช้เวลาเมื่อมีโอกาสก็ค่อยๆ ซื้อมาใช้งาน ชอบรุ่นไหนก็หาซื้อไว้เท่าที่กำลังจะมีพอ
อยู่ๆ มาวันนึงผมก็จะคิดว่า เออ.. จะเป็นไปได้ไหม ถ้าเราจะเริ่มผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น เปิดตัวให้มีโอกาสได้พูดคุยกับแบรนด์มากขึ้น และก็รู้สึกว่า เอ๊ะ.. ถ้าวันนึงเราอยากทำให้งานของเราไปกันได้กับ OMEGA จะเป็นไปได้หรือไม่ ก็มีแต่คนบอกเป็นไปไม่ได้ คือแบบ.. ถึงเราจะเป็นวงดนตรีวงนึงที่อยู่มานาน และถึงเราอาจเป็นวงที่เป็นที่รู้จักอยู่บ้างวงหนึ่งในประเทศไทย
แต่เมื่อเทียบกับ OMEGA ซึ่งเป็นโกลบอลแบรนด์ เราก็อาจเป็นวงดนตรีที่แทบไม่มีค่าเลยเมื่อเทียบกับแวลูของแบรนด์ OMEGA แต่พอมานึกว่าการเดินทางของวงของเรา ก็เริ่มต้นจากคำว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นการได้ลองพูดคุย ก็ถือว่าไม่มีอะไรเสีย ก็เลยติดต่อพูดคุยกับแบรนด์ตรงๆ ไปเลย เพราะผมเชื่อว่าอะไรก็อาจเป็นไปได้ถ้ามีความพยายามมากพอ
ในฐานะที่ผมเป็นผู้บริหารที่ GMM Grammy ผมมองว่าเรื่องการนำเพลงมาทำงานร่วมกัน กับแบรนด์นาฬิกาเป็นอะไรที่น่าคิด ซึ่งหลังจากที่ตกลงกันได้ว่าเรื่องนี้จะเป็นไปได้ ผมก็พูดคุยกับทาง GMM Grammy ให้ทางหัวหน้าฝ่ายเซลส์เข้าใจว่าเรื่องนี้จะต้องผลักดันให้เกิดขึ้น ในเมื่อมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้แล้วจากการเจรจา เพราะผมถือว่าเป็นการเปลี่ยนฉากทัศน์ในอุตสาหกรรมดนตรีในบ้านเรา
ว่าวงดนตรีวงนึงสามารถก้าวข้ามไปอยู่กับลักซ์ชัวรี่แบรนด์ ได้ด้วยทำมาร์เก็ตติ้งแบบใหม่ แล้วทาง OMEGA ก็บอกว่าอยากจะให้ครั้งนี้เป็นการบุกเบิกเลย ซึ่งจริงๆ แล้วอาจเคยเกิดขึ้นมาก่อนกับสินค้าอื่นๆ แต่ OMEGA กับวงร็อคของไทยที่ทำงานร่วมกันแบบนี้จะไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งผมคิดว่าครั้งนี้อาจทำให้ต่อไป หลายวงดนตรีกล้าที่จะถามกล้าที่จะรุก และทำให้อีกหลายแบรนด์เปิดรับอะไรมากยิ่งขึ้น ซึ่งผมแฮปปี้กับตรงนี้มากกว่า
ผมมองว่านอกจากที่ผมชอบ OMEGA อยู่แล้ว และถ้าเราได้เริ่มทำเรื่องนี้ในครั้งนี้ขึ้นได้สำเร็จ ก็จะทำให้อุตสาหกรรมเพลงของเราได้ขยับมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ต่างหากที่สำคัญสำหรับผม เพราะจะเปิดโอกาสให้กับคนอื่นๆ แล้วก็แบรนด์อื่นๆ ได้มองเห็นแวลูของศิลปินฝั่งมิวสิคมากยิ่งขึ้น เพราะเอาจริงๆ ถ้าพูดถึงในด้านมาร์เก็ตติ้งแล้ว ศิลปินนักร้องเสียเปรียบดาราแน่นอน เวลาราคาเท่ากันแล้วมาแข่งขันกันเนี่ย โอกาสที่จะสู้ยากกว่า
ผมก็เลยรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องผลักดันให้เกิด และทาง OMEGA ให้เกียรติเรามากเค้าเปิดรับเกือบทุกเรื่อง และปล่อยอิสระในการทำงาน และไม่เป็นแบบฮาร์ดเซลส์เพราะอยากให้เห็นถึงรูปลักษณ์ เห็นแก่น และปรัชญาของแบรนด์ มากกว่านำเสนอโปรดักซ์แบบตรงเผงอะไรแบบนั้น ซึ่งสุดท้ายแล้วต้องเรียกว่าเรื่องทั้งหมด เกิดจากการที่ผมรักนาฬิกาในแบบของผม จนในที่สุดผมก็ได้ทำงานโดยเอาสิ่งที่รักทั้งหลายมารวมอยู่ด้วยกัน
