The Review of MAURICE LACROIX Pontos Chronograph Monopusher
สำหรับวงการนาฬิการะดับโลกแล้ว ฟังก์ชั่นโครโนกราฟถือเป็นฟังก์ชั่นยอดนิยมอันดับหนึ่งของผู้คนทั่วโลกเสมอมา จากลุคสปอร์ตจากวงโครโนกราฟทั้งสองหรือสาม รวมไปกับสเกลแสดงเวลาการจับเวลา ที่แม้ผู้คนทั่วไปจะไม่เข้าใจการทำงานดีนัก หรือสามารถอ่านค่าและนำไปใช้ได้ในทันที แต่สเน่ห์ของความเป็นนาฬิกาสปอร์ตที่ได้จากนาฬิกาฟังก์ชั่นนี้ ยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนทั่วไปถวิลหามาโดยตลอด
MAURICE LACROIX ซึ่งเป็นหนึ่งแบรนด์ที่มีดีเอ็นเอของความเป็นนาฬิกาสปอร์ตมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้น จนกระทั่งสร้างความโดดเด่นได้ดีในเรื่องของกลไกต่างๆ ที่หวลกลับไปใช้กลไกแบบวินเทจ จนกระทั่งสามารถเริ่มต้นพัฒนากลไกอินเฮ้าส์ของตัวเองได้ ในยุคที่แบรนด์นาฬิกาทั้งหลายยังไม่ได้เริ่มต้นพัฒนากลไกอินเฮ้าส์ขึ้นมาเลย ซึ่งสิ่งนี้เองที่เป็นรากเหง้าสำคัญของแบรนด์ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นเนื่องในโอกาสการครบรอบ 20 ปีของคอลเลคชั่น Pontos ที่ถือว่ามีความสำคัญกับMAURICE LACROIX มาโดยตลอด จึงถือโอกาสแนะนำนาฬิกากลไกฟังก์ชั่นโครโนกราฟอันโดดเด่น พร้อมทั้งผนวกความเหนือชั้นของกลไกโครโนกราฟ ด้วยระบบโมโนพุชเชอร์ ซึ่งก็คือการรวมปุ่มจับเวลาทั้งสองปุ่มเข้าไว้ด้วยกันในปุ่มเดียว ซึ่งคนที่รักในกลไกนาฬิกาจะรู้กันดีถึงความพิเศษของระบบโมโนพุชเชอร์นี้
ตามการใช้งานแบบปกติของกลไกแบบโครโนกราฟ ซึ่งถือเป็นสไตล์ดั้งเดิมและยอดนิยมที่นิยมใช้กันมากับกลไกในเกือบทุกแบรนด์ นั่นก็คือการกดปุ่ม ณ บริเวณ 2 นาฬิกาสำหรับการเริ่มต้นและการหยุดจับเวลา ในขณะที่การกดปุ่มบริเวณ 4 นาฬิกาจะเป็นการรีเซ็ทเพื่อให้เข็มวินาทีของชุดจับเวลา กลับไปเริ่มต้นใหม่ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา เพื่อเตรียมในการจับเวลาครั้งต่อไปได้
ดังนั้นระบบโมโนพุชเชอร์ก็คือการรวบรวมปุ่มทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดความสะดวกยิ่งขึ้นในการจับเวลา ซึ่งต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดในจุดนี้ถึงความต้องการในการใช้งาน เพราะเนื่องจากในอดีตการจับเวลาถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และอุปกรณ์ในการจับเวลาในอดีตไม่ได้มีหลากหลายอย่างเช่นในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีเล็คโทรนิคส์เข้ามามีบทบาทในการใช้งานของผู้คนยุคนี้
โดยแกนกลางของกลไกอันเป็นศูนย์รวมในการทำหน้าที่ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำหน้าที่ในการเป็นศูนย์กลางให้กับแกนเข็มกลางหน้าปัด พร้อมกับแกนเข็มจับเวลา ณ ตำแหน่ง 3 นาฬิกา และแกนเข็มแสดงเวลาวินาที ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกา ซึ่งกลไกชุดนี้ใช้แกนกลางในจุดร่วมเดียวกัน ดังนั้นในการนำชุดกดรีเซ็ทมารวมเข้ากับชุดกดเริ่มต้นและหยุด จึงถือเป็นเรื่องพิเศษในการทำงานและพัฒนา เนื่องจากมีความละเอียดอ่อนที่เกี่ยวข้อง และจะส่งผลไปถึงการแสดงเวลาปกติไปพร้อมกันอีกด้วย
หน้าปัดแบบเทเลมิเตอร์เป็นอีกจุดที่เป็นส่วนสำคัญของนาฬิการุ่นนี้ โดยมีเส้นสีฟ้ากับเส้นสีแดงแสดงสเกลและค่าต่างๆ ที่ต้องผ่านการคำนวณ โดยเส้นสีฟ้าจะเป็นเส้นแสดงสเกลของชุดแทคคีมิเตอร์ ซึ่งคุ้นเคยกันดีกับในนาฬิกาจับเวลารุ่นต่างๆ มากมาย ในขณะที่เส้นสีแดงจะแสดงสเกลของเทเลมิเตอร์ ซึ่งสามารถคำนวนและอ่านค่าหน่วยการเดินทาง พร้อมทั้งระยะทางต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นสเกลที่นิยมใช้กันในอดีต
ในขณะที่มีสุดแต้มขีดสั้นๆ สีแดงแสดงค่าในหน่วย 10, 20, 30, 40 และ 50 โดย ณ 12 นาฬิกาหรือ 60 จะใช้สัญลักษณ์ตัวอักษร M ของ MAURICE LACROIX กำกับไว้แทน กับการใช้งานของปุ่มโมโนพุชเชอร์ ณ ตำแหน่ง 2 นาฬิกาที่ใช้งานง่าย ด้วยปุ่มแบบแท่นที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา โดยน้ำหนักของการกดเริ่มต้นและหยุดการจับเวลาจะเท่ากัน พร้อมกับน้ำหนักของการกดรีเซ็ทจะหน่วงมือกว่า
นั่นก็เพราะชุดกระเดื่องของตำแหน่งการกดรีเซ็ท ซึ่งเป็นครั้งที่สามหลังจากการกดเริ่มต้นและหยุดแล้ว จะใช้แรงดันในชุดกลไกมากกว่า พร้อมกับเป็นการแสดงให้ผู้ใช้งานได้รับรู้ถึงตำแหน่ง ในการกดปุ่มด้วยหากคุ้นเคยและใช้งานมาก่อนแล้วระยะหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดอีกหลายอย่าง อย่างเช่นการเลือกใช้สีขาวเพื่อความเด่นชัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นจานวันที่ ที่แสดงอยู่ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา
พร้อมชุดเข็มแสดงเวลาชั่วโมงและนาทีที่เป็นแบบเจาะโปร่ง เพื่อให้ไม่บดบังหน้าปัดและชุดเวลาอื่นๆ บนหน้าปัด โดยมีพื้นหน้าปัดในโทนสีเทาอมน้ำตาลแบบฟูเม่ โดยแผ่รัสมีโทนสีอ่อนในกึ่งกลางหน้าปัดออกไปจนโทนเข้มบริเวณรอบนอก ซึ่งเป็นพื้นของตัวเลขอาร์บิคแสดงเวลา ที่เป็นแบบประกบติดทีละชิ้นสีเงินขัดเงาแวววาว เพื่อจุดประสงค์ในการอ่านค่าเวลาพร้อมความโดดเด่นที่ดูพิเศษยิ่งขึ้น
กับตัวเรือนสไตล์ Pontos ที่มีขาตัวเรือนแบบสองชั้น ที่ทำให้ตัวเรือนกลมอันเรียบง่ายนี้ดูพิเศษมากขึ้น ในขณะที่องค์ประกอบต่างๆ จะอยู่ในโทนสีดำทั้งหมด โดยมีตราสัญลักษณ์ M ของแบรนด์กำกับอยู่ที่สายหนังสีดำ ที่ใช้งานคู่กันกับบัตเตอร์ฟลายบัคเคิ้ลที่ผลิตจากสตีลพีวีดีสีดำเช่นเดียวกันกับตัวเรือน และทำให้นาฬิกาเรือนนี้มีลุคและโทนสีดำอย่างเคร่งขรึมสไตล์วินเทจ พร้อมทั้งสามารถแสดงตัวได้อย่างน่าสนใจ ในฐานะของแบรนด์นาฬิกาที่มีฟังก์ชั่นและระบบพิเศษนี้ ในราคาจำหน่ายที่ประเทศไทย 139,000 บาท ที่น่าจะเป็นนาฬิกาในฟังก์ชั่นและระบบนี้ที่มีราคาค่าตัวที่จับต้องได้สำหรับทุกคน