Hands-on ALPINA Heritage Pilot Watch
"We aim to revive Alpina back to its former glory by emphasizing Alpina's historical pilot watches from the 1920's. The relaunch of the Heritage Pilot is not just a watch, it is like telling a story."
"จุดมุ่งหมายของเราคือการนำความรุ่งโรจน์ในยุคปี 1920 กลับมาสู่ประวัติศาสตร์ของ Alpina การนำรูปแบบ Heritage Pilot มาทำใหม่นี่ไม่ใช่แค่เพียงให้เป็นนาฬิกา แต่เป็นการเล่าเรื่องราวของมัน"
Peter Stas, ALPINA CEO
ALPINA Heritage Pilot Watch Limited Edition 1,883 pieces
ALPINA (อัลพิน่า) แบรนด์นาฬิกาเก่าแก่จากสวิตเซอร์แลนด์ที่เคยครองตลาดครอบคลุมไปทั่วยุโรปในอดีต กลับมาเปิดปูมประวัติศาสตร์แห่งความยิ่งใหญ่ของตนในปีนี้ด้วยนาฬิกานักบินลิมิเต็ดเอดิชั่นรุ่นพิเศษ Heritage Pilot ที่นำเอานาฬิกาแบบที่ ALPINA เคยผลิตให้กับนักบินและทหารในช่วงทศวรรษที่ 1920 ถึง 1930 มาทำขึ้นใหม่แบบรีเอดิชั่นด้วยเทคโนโลยีการผลิตอันทันสมัยในปัจจุบัน โดยมีลักษณะใกล้เคียงกับรุ่นดั้งเดิมเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นรูปทรงตัว เรือน เม็ดมะยม สาย รูปแบบหน้าปัด สีสัน ฟอนท์หลักชั่วโมง เข็ม ตลอดจนโลโก้แบบที่ใช้ในสมัยนั้น และที่ถือเป็นเสน่ห์อย่างยิ่งก็คือฝาหลังแบบเปิดได้ที่เผยให้เห็นเครื่องไขลานจาก Unitas ที่ขัดแต่งอย่างสวยซึ่งบรรจุอยู่ใต้กระจกใสด้านในซึ่งคล้ายกับเครื่องนาฬิกาพกที่นำมาใช้กับนาฬิกานักบินในรุ่นดั้งเดิม
จำนวนการผลิตของ Heritage Pilot ถูกจำกัดไว้ที่ 1,883 เรือนซึ่งนำตัวเลขมาจากเลขปี ค.ศ. ที่กลุ่มผู้ผลิตนาฬิกาอิสระรายต่างๆ ในยุคนั้นได้ร่วมกันก่อตั้ง The Swiss Watchmakers Corporation ขึ้น ซึ่งต่อมากลุ่มนี้ก็ได้จดทะเบียนชื่อแบรนด์ของกลุ่มว่า ALPINA ในปี ค.ศ.1901 ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท Union Hologere และเจริญเติบโตจนมีเครือข่ายจำหน่ายเกือบ 2,000 ร้านทั่วโลก ก่อนจะเลือนหายไปจากตลาดด้วยวิกฤตควอตซ์ในทศวรรษที่ 1970 และกลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้งด้วยการแนะนำคอลเลคชั่นใหม่ในงาน Basel Fair 2003 ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท Alpina Watch International ซึ่งนำทัพโดยซีอีโอที่ชื่อ Peter Stas คนเดียวกับที่เป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์ FREDERIQUE CONSTANT (เฟรดเดอริค คองสตองท์) ก่อนจะเดินหน้าเต็มที่ในการพัฒนาและผลิตด้วยการเปิดโรงงานเป็นของตัวเองในเจนีวาเมื่อปี 2006 เป็นต้นมา และในปี 2012 ทาง ALPINA ก็พร้อมแล้วที่จะให้ทั่วโลกได้สัมผัสกับความเป็นออริจินัล ALPINA ด้วยนาฬิกา Heritage Pilot รุ่นนี้ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งตำนานอันยิ่งใหญ่ของแบรนด์ได้อย่างดียิ่ง
ตัวเรือนมีขนาด 50 มม. ไม่รวมเม็ดมะยม ทำจากสเตนเลสสตีล พร้อมฝาหลังแบบเปิดได้ กลไกไขลานเบสเครื่อง Unitas สายหนังวัวสีน้ำตาลเดินด้ายสีขาว มาในกล่องไม้กรุอลูมิเนียมอย่างสวยงาม เข็มทรงปลาโลมาสุดคลาสสิค มาร์คเกอร์ลงพรายน้ำ ตัวมาร์คเกอร์ค่อนข้างสมบูรณ์ ยกเว้นเลข 5 และ 7 ที่โดนตัดทอนโดยวงวินาทีไปเล็กน้อย แต่ก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจน พรายน้ำสีออกเหลืองนวลเหมือนกับพรายน้ำในนาฬิกาวินเทจ ตัวมาร์คเกอร์มีขอบโลหะล้อมรอบพรายน้ำทำให้งานดูมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น ตัวฟอนท์ของแบรนด์ย้อนกลับไปใช้ฟอนท์เดิมที่เคยใช้ในนาฬิกา heritage watch ยุคปี ค.ศ.1920
ขอบรางรถไฟทำให้หน้าปัดดูไม่อึดอัดเหมือนในเรือน pilot เรือนอื่นที่ส่วนใหญ่นิยมใช้มาร์คเกอร์แบบก้านไม้ขีดถี่ๆ อีกทั้งยังทำให้มาร์คเกอร์หลักที่เป็นตัวเลขดูโดดเด่นกว่า ด้วยขนาดตัวเรือน 50 มม. ถือเป็นนาฬิกานักบินที่ใหญ่โตทีเดียว เนื่องจากนักบินในสมัยก่อนต้องมีทัศนวิสัยในการดูเวลาได้อย่างง่ายดาย ขนาดที่ใหญ่และหน้าปัดที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญในเรื่องนี้ครับ ซึ่งก็รับกันกับขนาดกลไกไขลาน unitas ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 37 มม. ก็ยังพอรับกันได้ ไม่เหมือนกับนาฬิกาเรือนใหญ่หลายๆ รุ่นในตอนนี้ที่นิยมนาฬิกาขนาดใหญ่แต่ใส่เครื่องเล็กนิดเดียว แถมฝาหลังเปลือยให้เห็นให้ติได้อีก
จุดเด่นของนาฬิกาเรือนนี้ซึ่งถือว่าเป็นจุดขายเลยก็ว่าได้คือ ฝาหลังแบบ hunter case ซึ่งฝาหลังสามารถเปิดได้ด้วยกลไกสปริงบังคับด้วยปุ่มเล็กๆ ที่ข้างตัวเรือน ด้านในฝาหลังขัดลายก้นหอยอย่างสวยงามเหมือนนาฬิกาพกในสมัยโบราณ ซึ่งลักษณะพิเศษนี้ก็หาไม่ได้ง่ายๆ ในนาฬิกาปัจจุบัน ที่ผ่านตามาก็มี Lindberg ของ Longines ซึ่งส่วนตัวผมว่าหน้าปัดจะดูเยอะไปสักหน่อยสำหรับนาฬิกานักบิน
บอกตรงๆ ที่ผมโดนก็เพราะฟังก์ชั่นเปิดหลังนี่เองครับ รุ่นนี้ได้ข่าวมาว่า ทาง Alpina ได้ผลิตขึ้นมาโดยอ้างอิงแบบจากนาฬิกา Alpina วินเทจซึ่งทางตัวแทนจำหน่ายที่เม็กซิโกไปประมูลมาได้ จึงเป็นที่มาของ Heritage Pilot Limited เรือนนี้ครับ
นี่เป็นรูปตัวดั้งเดิมที่ผลิตเพื่อใช้งานในสมัยสงครามเมื่อปี 1920 ซึ่งนำมาใช้เป็นต้นแบบของ Heritage Pilot จุดหนึ่งที่ผมชอบสำหรับนาฬิกา retro ที่ทำขึ้นมาใหม่คือ การคงสภาพเดิมของตัวต้นแบบไว้ให้มากที่สุด เพราะการทำขึ้นมาใหม่เป็นการทำเพื่อให้เกียรติกับความภาคภูมิใจในอดีตที่ผ่านมา แต่หลายๆ เรือนที่ทำใหม่ขึ้นมานั้นเหมือนนำแค่ชื่อรุ่นกลับมาทำใหม่ ที่สำคัญนาฬิกาถูกออกแบบใหม่โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัวต้นแบบเลย
Alpina เรือนนี้ทำออกมาได้ดี การย้ายวงวินาทีจากตำแหน่ง 9 นาฬิกามาที่ 6 นาฬิกาก็ไม่ได้ทำให้นาฬิกาดูขัดตาแต่อย่างใดครับ ขนาดและลักษณะของปุ่มมะยมที่ดูใหญ่ขึ้นเล็กน้อยและชัดเจนขึ้นด้วยลวดลายที่คมชัดบนตัวเอง ทำให้ผมอดที่จะเปรียบเทียบกับ IWC Big Pilot ที่ผมเคยมีอยู่ไม่ได้ ซึ่งในตอนแรกผมคิดว่าจะหาคุณภาพจากแบรนด์ในระดับราคาที่ต่างกันมากแบบนี้ไม่ได้แต่ต้องบอกว่า ต้องให้ไปลองดูและทาบด้วยตัวคุณเองครับ ถึงจะรู้เหมือนผมครับ
ตัวเรือนกับความหนาที่ 10 มม. ทั้งขอบตัวเรือนด้านหน้าและหลังทำเป็นสโลปมนทำให้ดูไม่เทอะทะทั้งๆ ที่ตัวเรือนใหญ่ถึง 50 มม. ส่วนปุ่มกดที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกามีลักษณะเป็นปุ่มกลมมนทำให้ไม่เจ็บนิ้วเวลาใช้งาน ปุ่มมะยมขัดแต่งลวดลายได้คมและเงางามมาก โดยมีลวดลายที่ต่อเนื่องจากด้านข้างมาจรดด้านบนของเม็ดมะยม ซึ่งมีรายละเอียดเส้นที่คมและชัดเจนครับ
"เรียกว่าเหนือความคาดหมายเมื่อเทียบกับราคาในระดับนี้ครับ"
กระจกหน้าปัดไม่ได้เคลือบกันการสะท้อนของแสง ทำให้ในบางมุมสะท้อนให้เห็นเงาของสิ่งของต่างๆ รอบด้านได้ แต่ด้วยพื้นหน้าปัดที่เป็นสีดำด้าน ทำให้การมองเวลาเป็นไปได้อย่างง่ายดาย วงวินาทีขัดเงาสะท้อนกับแสงตอนตกกระทบอย่างสวยงาม ตัวโลโก้ที่ลงพรายน้ำไว้ทำได้อย่างมีมิติเหมือนนูนขึ้นมาจากพื้นหน้าปัด ส่วนบรรดาตัวเลขมาร์คเกอร์ก็ทำได้อย่างเรียบร้อย ไม่มีการลงพรายน้ำเลอะขอบโลหะที่ล้อมรอบออกมาแต่อย่างใด
เรื่องกระจกหน้าปัดที่ไม่เคลือบกันสะท้อนแสง ผมได้เรียนรู้จาก Jerome Lambert ซีอีโอของ Jaeger-LeCoultre ที่เคยได้เจอในงานหนึ่งว่า การที่ JLC ไม่เลือกที่จะเคลือบกันสะท้อนบนหน้าปัดของนาฬิกานี้ เพื่อให้เห็นความเป็นมิติบนตัวกระจกนั่นเอง
ตัวเรือนฝั่งด้านที่ทำเป็นบานพับก็เก็บงานได้อย่างเรียบร้อย ผมลองเอานิ้วลูบโดยรอบก็ดูกลมมน ไม่มีส่วนใดที่โผล่ขึ้นมาแทงแต่อย่างใด ขอบฝาหลังที่เปิดได้ก็ปิดแนบสนิทกับตัวเรือนด้านหน้าอย่างเรียบร้อย ตรงบริเวณด้านนอกของฝาหลังก็มีลวดลายบนพื้นผิว เหมือนอย่างที่เคยเห็นในนาฬิกาพกสมัยก่อน
ขนาดใหญ่ 50 มม. ที่เดิมผมคิดว่าคงใส่ไม่ได้แน่ๆ แต่พอทาบบนข้อมมือก็ต้องบอกว่าเต็มหน้าข้อมือพอดี เพราะเป็นคนที่มีหน้าข้อมือแบน ขนาดของนาฬิกาก็วางพอดีบนหน้าข้อมือ อาจจะมีส่วนของหูนาฬิกาที่ยื่นออกไปเพียงนิดเดียวแต่ก็ไม่ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกว่าใส่นาฬิกาแล้วกางเกินข้อมือแต่อย่างใด คงจะเหมือนความรู้สึกตอนที่ผมไปลองทาบ IWC Big Pilot เป็นครั้งแรก ซึ่งในสมัยนั้น นาฬิกาขนาด 47 มม. เป็นอะไรที่ใหญ่มากในความรู้สึกของผม เพราะเพิ่งทำใจได้กับขนาด 44 มม. ของ Panerai ซึ่งเพิ่งเป็นที่นิยมมาไม่นานนัก พอลองไปทาบบนข้อมือครั้งแรก ผมคิดว่ามันใหญ่และกางเกินไปบนข้อมือของผมเอง แต่ด้วยความชอบในแบรนด์และรูปแบบ ทำให้ผมต้องไปลองทาบอีกเป็นครั้งที่สอง ใช้เวลาพิจารณาถึงรายละเอียด ดูจากหลายๆ มุม ในที่สุดผมก็สอยกลับบ้านมาด้วย ผมก็เลยมาคิดว่า จะเป็นเพราะตัวเลขของเส้นผ่าศูนย์กลางหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นเพราะความน่ารักของพนักงานขายที่ทำให้ผมตัดสินใจไม่ได้ในครั้งแรก จึงน่าจะเป็นอุทธาหรณ์สำหรับทุกคนในเรื่องขนาดของนาฬิกาที่ต้องลองบนข้อมือเองก่อนที่จะด่วนตัดสินใจจากข้อมูลรายละเอียดของนาฬิกาเท่านั้นครับ
บทสรุป
ประวัติของแบรนด์ที่ยาวนาน รูปแบบ re-edition ที่แสนจะคลาสสิก ในราคาที่เหมาะสม ประกอบกับผลิตในจำนวนจำกัด ผมคิดว่า นาฬิกาเรือนนี้น่าจะเป็นที่ถูกใจของนักสะสมนาฬิกาอย่างไม่ยากเย็นนัก สำหรับข้อเสียที่ผมเจอมาก็คือ เรื่องไม่มีวันที่ แต่ก็เป็นข้อธรรมดาสำหรับผมที่อยู่ในวัยที่มองวันที่ตัวเล็กๆ ได้ไม่ชัดนัก และเวลาสวมใส่ตอนวิดพื้นทุกเช้าเม็ดมะยมมักจะตำบนหลังมือผมเสมอ ทำให้วิดได้แค่ 99 ที ไม่ครบ 150 ตามที่กำหนดไว้ อิอิ
By: Prayuth P.