เรื่องราวแห่ง deLaCour แบรนด์นาฬิกาจากเจนีวาและนาฬิกาดำน้ำคอลเลคชั่นล่าสุด REEF SAVER DIVER
deLaCour (เดอลาคูร์) ก่อตั้งขึ้นในเจนีวาเมื่อปี 2003 โดย Alfred Terzibachian, Louai Kuzbari และ Pierre Koukjian หนุ่มไฟแรง 3 คนที่ได้ร่วมงานกันมาตั้งแต่ปี 1990 โดยร่วมกันทำงานด้านการออกแบบและการทำตลาดให้กับบริษัทนาฬิกาและบริษัทจิวเวลรี่หรูในสวิสหลายแบรนด์ด้วยกันจนได้ตกลงใจสร้างสรรค์นาฬิกาเปี่ยมเอกลักษณ์เป็นของตนเองออกมาในปี 2003 พร้อมๆ กับก่อตั้งแบรนด์ขึ้น โดยมี Pierre เป็นหัวหน้าดีไซเนอร์ Alfred เป็นซีอีโอ และ Louai เป็นซีเอฟโอ
(จากซ้าย) Pierre Koukjian, Alfred Terzibachian และ Louai Kuzbari
นาฬิกาคอลเลคชั่นแรกของแบรนด์ซึ่งถูกเปิดตัวในงานนาฬิกาที่เจนีวาและบาเซิลเมื่อปี 2003 ก็คือ Bichrono นาฬิกาที่ใช้เครื่องออโต้โครโนกราฟ ETA 2 เครื่องในเรือนเดียวที่มาพร้อมรูปทรงตัวเรือนอันแปลกตาซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์เด่นของแบรนด์ไปแล้ว โดยมากับหน้าปัดที่ทำจากไทเทเนียมซึ่งก็ไม่ธรรมดาด้วยการได้รับรางวัล Best Design จากงาน GTE (Geneva Time Expo) ด้วย และตามมาติดๆ ด้วยไลน์ Heart Riders นาฬิกาประดับอัญมณีซึ่งก็ใช้ตัวเรือนลักษณะเดียวกัน
(ซ้าย) Bichrono แบบแรกๆ ที่เปิดตัวพร้อมกับแบรนด์เมื่อปี 2003, (ขวา) Heart Riders
ทิศทางการดำเนินงานของ deLaCour คือการสร้างสรรค์นาฬิกาในแต่ละแบบให้มีความพิเศษในตัวเองและจะเป็นการผลิตในแบบลิมิเต็ดเอดิชั่นเท่านั้น เพื่อให้นาฬิกาทุกแบบมีความเอ็กซ์คลูซีฟโดยแท้จริง ปีต่อมาก็ได้เผยโฉมนาฬิการะดับสูงของตนด้วยรุ่น Bitourbillon ซึ่งมีกลไกตูร์บิยองถึงสองตัวทำงานเชื่อมโยงกันโดยดิฟเฟอเรนเชียล การที่ deLaCour สามารถสร้างสรรค์นาฬิกาแบบธรรมดาออกมาหลายแบบในเวลาอันรวดเร็วก็เป็นเพราะประสบการณ์และความสัมพันธ์นับสิบปีของทางผู้บริหารแบรนด์ที่มีกับเวิร์คช็อปนาฬิกาชั้นนำๆ หลายแห่งของสวิตเซอร์แลนด์นั่นเอง ถัดมาไม่นาน ในปี 2006 ก็ได้เพิ่มเติมความหลากหลายให้กับคอลเลคชั่น Bichrono และออกคอลเลคชั่น Bichrono SII ที่ปรับดีไซน์ของหน้าปัดให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้บุกเบิกของวงการในการนำวัสดุแปลกใหม่อย่างไม้ธรรมชาติ (ในรุ่น Bichrono Hommage) ใบยาสูบ (ในรุ่น Bichrono Fidelidad) และผงยางมะตอย (ในรุ่น Bichrono S3 Asphalt) มาใช้ทำหน้าปัดของนาฬิการุ่นต่างๆ ของซีรี่ย์ Bichrono SII ด้วย โดยในปี 2012 ยังได้ออกรุ่น Bichrono Tech ซึ่งมากับโครงสร้างของรายละเอียดบนหน้าปัดแบบสามมิติสุดอาวองการ์ดมาเพิ่มเติมอีกรุ่นหนึ่ง
Bichrono Tech
ปี 2006 ยังเป็นปีที่ deLaCour ออกคอลเลคชั่น City มาสู่ตลาดซึ่งก็ได้กลายเป็นคอลเลคชั่นที่เป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ไปอีกคอลเลคชั่นหนึ่ง ด้วยรูปทรงตัวเรือนในลักษณะคล้ายกับ Bichrono แต่มากับหน้าปัดเดี่ยวซึ่งมีลุคส์ที่เหมาะกับสังคมเมืองสมัยใหม่สมชื่อ และในปี 2009 ก็อัพเดทรุ่นล่าสุดให้กับ City ด้วยรุ่น City Ego กับดีไซน์ที่แปลกตาโดดเด่นยิ่งขึ้น โดยในปี 2011 ก็เปิดตัวนาฬิกาสุดพิเศษรุ่นดังที่ผลิตขึ้นในโอกาสที่ José Mourinho โค้ชสุดฮ้อตแห่งทีมฟุตบอลเรียลมาดริด มาเป็นแอมบาสเดอร์ให้กับ deLaCour โดยใช้ชื่อรุ่นว่า Mourinho City Ego และในปี 2012 ก็เผยโฉมคอลเลคชั่นใหม่ของ City Ego ที่มากับรายละเอียดการแสดงผลบนหน้าปัดแบบสามมิติสุดล้ำหลายแบบด้วยกันพร้อมแนะนำรุ่น City Leap ที่มากับตัวเรือนบางลงในอีกหลายเวอร์ชั่นการตกแต่ง
Mourinho City Ego
คอลเลคชั่นต่อมาออกจำหน่ายในปี 2007 ภายใต้ชื่อว่า Saqra โดยคราวนี้ฉีกแนวไปจากรูปทรงเดิมเล็กน้อยด้วยการเอาลักษณะของตัวเรือนเดิมมาจัดวางรูปทรงลงบนตัวเรือนสี่เหลี่ยมป่องกลางคล้ายทรงคัชชั่น ซึ่งก็มีรุ่นปรับปรุงใหม่ออกมาอีกครั้งในปี 2012 โดยใช้ชื่อรุ่นว่า Saqra Ego II ซึ่งมากับตัวเรือนและหน้าปัดที่ทำจากไทเทเนียมพร้อมกับจัดวางรายละเอียดของการแสดงผลบนหน้าปัดให้เป็นแบบสามมิติดูล้ำยุค
Saqra Weekend Graphite นาฬิกา Saqra Weekend กลไกอัตโนมัติ สุดพิเศษที่ทำขึ้นเพียงเรือนเดียวในตัวเรือนที่เป็นคอมบิเนชั่นระหว่างวัสดุกราไฟต์กับพิงค์โกลด์ 18k เพื่อร่วมประมูลในงาน Only Watch 2007 โดยจบราคาประมูลไปเกือบ 20,000 เหรียญสหรัฐ
และก็มาถึง Promess คอลเลคชั่นน้องใหม่ของแบรนด์ที่เปิดตัวมาในปี 2010 โดยคราวนี้มาในตัวเรือนทรงกลมฉีกแนวไปจากคอลเลคชั่นอื่นๆ กลับมาเป็นทรงนาฬิกาตามประเพณีดั้งเดิมยิ่งขึ้นแต่ก็ไม่วายที่จะสอดแทรกรายละเอียดของเส้นสายในการออกแบบที่มีความเป็นตัวเองลงไปไม่ได้เป็นตัวเรือนกลมเรียบง่ายเหมือนนาฬิกาทั่วไป ซึ่งตัวเรือนรุ่นนี้ก็มีรูปแบบการตกแต่งด้วยอัญมณีล้ำค่าที่หลากหลายไว้ในลูกค้าเลือกเป็นเจ้าของ
หลากหลายรูปแบบของคอลเลคชั่น Promess
หลายคนเมื่อได้เห็น deLaCour แบรนด์นาฬิกาจากเจนีวาเผยโฉมหน้าของคอลเลคชั่นนาฬิกาดำน้ำตัวเรือนไทเทเนียมออกมาในปี 2011 ก็คงรู้สึกแปลกใจว่าทำไม deLaCour จึงหันมาทำนาฬิกาดำน้ำกับเขาด้วย ซึ่งก็อาจเป็นเพราะความต้องการที่จะเปิดตลาดของแบรนด์ให้กว้างขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้ และด้วยความเป็นนาฬิกาดำน้ำซึ่งถือว่าเป็นทูลวอตช์ประเภทหนึ่ง จึงต้องออกแบบมาเป็นนาฬิกาเรือนกลมที่เป็นพื้นฐานของคอลเลคชั่น Promess อันเป็นนาฬิกาตัวเรือนกลมของตน โดยแต่งแต้มรายละเอียดการออกแบบให้ดูแข็งแกร่งบึกบึนยิ่งขึ้นกว่า Promess รุ่นอื่นๆ และเพื่อให้คอลเลคชั่นนี้มีความพิเศษยิ่งขึ้น deLaCour จึงผลิตออกมาในแบบลิมิเต็ดเอดิชั่นเพียงแบบละไม่ถึงร้อยเรือนเท่านั้น โดยใช้ชื่อรุ่นว่า Promess Reef Saver Diver
Promess Reef Saver Diver ตัวเรือนไทเทเนียมเคลือบพีวีดี ขอบตัวเรือนโรสโกลด์ 18k
มองเห็นชัดเจนในความมืดด้วยสารเรืองแสงที่บรรจงแต่งแต้มอย่างตั้งใจบนจุดสำคัญต่างๆ
มาถึงปี 2012 Promess Reef Saver Diver ก็มีทางเลือกเพิ่มขึ้นในตัวเรือนวัสดุไทเทเนียมเคลือบด้วยพีวีดีสีเทาเข้มหรือเทาอ่อนขนาด 48.5 มิลลิเมตร อันเป็นวัสดุที่ทนทานต่อน้ำทะเลและมีน้ำหนักที่เบาซึ่งเหมาะกับกิจกรรมทางน้ำเป็นอย่างยิ่ง ส่วนขอบตัวเรือนก็จะมีทั้งที่ทำจากไทเทเนียมสีเดียวกับตัวเรือนและแบบที่ทำจากโรสโกลด์ 18k ให้เลือก ทุกแบบจะใช้หน้าปัดสีดำไร้แสงสะท้อนตามหลักแห่งนาฬิกาดำน้ำที่ดีโดยออกแบบให้เป็นลักษณะ 3 มิติแปลกตาด้วยเส้นขอบหน้าปัดซ้อนกันสี่วง วงนอกสุดเป็นแบบลาดเอียงเล่นระดับกับหลักชั่วโมงเรืองแสงทรงสี่เหลี่ยมคางหมูพิมพ์ตัวเลขนาทีสีดำให้มองเห็นได้ชัดแจ้งในสภาพแสงน้อย ส่วนที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกาทำเป็นรูปทรงของเพชร โดยเป็นการปรับรูปแบบมาจากพื้นฐานของรุ่น Promess วงถัดไปเป็นวงขีดสเกลนาทีทรงบางใช้สีแดงกับเหลืองเป็นสัญลักษณ์อ่านค่าสะดวกสำหรับใช้จับเวลาที่อยู่ใต้น้ำซึ่งหมุนได้ทิศทางเดียวด้วยเม็ดมะยมขนาดใหญ่เซาะร่องจับถนัดมือ ณ ตำแหน่ง 2 นาฬิกา ที่มีลักษณะเดียวกับเม็ดมะยมขันเกลียวขนาดใหญ่ ถัดไปอีกชั้นจะเป็นเส้นลูกฟูกแนวขวางอันเป็นลูกเล่นที่สามารถเบรกความกลมของหน้าปัด ส่วนวงกลมในสุดก็เป็นที่อยู่ของวลีบ่งบอกความเป็นตัวตนของแบรนด์ ซึ่งก็คือ Individally Craft และ Since Tomorrow ที่เป็นม็อตโต้ของแบรนด์ กับตัวเลข 500 M เพื่อแสดงความสามารถในการกันน้ำได้ 500 เมตรของนาฬิกา ยังไม่หมดครับยังมีช่องหน้าต่างบอกวันที่ทรงกลมที่ออกแบบให้ส่วนของขอบหน้าต่างมีลายวงกลมขนาดเล็กอยู่รายรอบในลักษณะเดียวกับที่ใช้บนขอบตัวเรือนด้วย
Promess Reef Saver Diver ตัวเรือนไทเทเนียมเคลือบพีวีดีสีเทาเข้ม
ส่วนของเข็มเองก็มาในรูปทรงป่องกลางแปลกตาพร้อมฉลุสเกเลตันตรงกลาง ปลายเข็มชั่วโมงทำเป็นหัวลูกศรขนาดใหญ่เพื่อให้มีความแตกต่างจากเข็มนาทีอย่างชัดเจน ทั้งคู่แต้มด้วยสารเรืองแสง ส่วนเข็มวินาทีสีแดงมาในทรงเพรียวบางทำหัวเข็มเป็นสองแฉกเพื่อเพิ่มความเก๋ ซึ่งเมื่อมองในรายละเอียดทั้งหมดแล้วจะเห็นได้ว่าทาง deLaCour ใส่ใจกับรายละเอียดในการออกแบบนาฬิการุ่นนี้เพียงใด แน่นอนว่ากระจกหน้าปัดต้องเป็นแซฟไฟร์เคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนที่มีเลนส์ขยายทรงกลมขนาดใหญ่อยู่ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกาให้สามารถอ่านเลขวันที่ได้แบบเต็มตา เดินด้วยเครื่องขึ้นลานอัตโนมัติ deLaCour DC261 จิวเวล 21 เม็ด ความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง กำลังสำรอง 42 ชั่วโมง ซึ่งปรับปรุงจากเบสของเครื่อง ETA 2892-A2 ฝาหลังเป็นไทเทเนียมทึบพร้อมสัญลักษณ์ภาพปะการังตรงกลางสื่อถึงความหมายของชื่อรุ่น สวมใส่คู่กับสายยางคุณภาพสูงพร้อมบานพับไทเทเนียมเคลือบพีวีดี ดีไซน์ของนาฬิการุ่นนี้จึงเหมาะกับทั้งใส่เล่นยามสบายๆ ใส่ชิลด์อยู่ริมหาด ใส่เล่นกีฬาทางน้ำ ไปจนถึงลงดำน้ำลึก โดยมีแอมบาสเดอร์ประจำคอลเลคชั่นเป็นถึงแชมป์โลกการดำน้ำแบบฟรีไดฟ์วิ่ง Pierre Frolla ซึ่งจะใช้นาฬิกา Reef Saver Diver นี้เป็นนาฬิกาที่เขาสวมใส่ลงดำน้ำในกิจกรรมต่างๆ ทั่วโลกขององค์กร Peace & Sport ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการรณรงค์ให้ชาวโลกตระหนักถึงคุณค่าและการอนุรักษ์ท้องทะเล
Promess Reef Saver Diver ตัวเรือนไทเทเนียมเคลือบพีวีดีสีเทาอ่อน
นับเป็นการพลิกโฉมหน้าของ deLaCour ให้เราได้เห็นกันในอีกมุมมองหนึ่ง ซึ่งหากกำลังมองหานาฬิกาดำน้ำที่มีความแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครแล้ว deLaCour รุ่นนี้ก็ดูเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนเหมือนกัน เพราะจะมีคนทั่วโลกเป็นเจ้าของนาฬิกาที่มีหน้าตาเหมือนกับของคุณเพียงไม่ถึงร้อยคนเท่านั้น ทราบว่าในเมืองไทย ทาง YAFRIRO บูติกที่สยามพารากอนก็มีนำรุ่นนี้เข้ามาจำหน่ายเช่นกัน ลองแวะไปชมตัวจริงกันดูได้ครับ
แชมป์โลกดำน้ำฟรีไดฟ์วิ่ง Pierre Frolla แอมบาสเดอร์ของนาฬิกาดำน้ำคอลเลคชั่นนี้
By: Viracharn T.