BANGKOK INDEPENDENT WATCHMAKING EXHIBITION 2019 Part II
โดยปกติแล้ว แบรนด์นาฬิกาแนวอินดิเพนเดนซ์ จะมีช่างนาฬิกาที่มีความสามารถเป็นตัวหลัก และอเทอลิเยร์เล็กๆ ในการทำงาน ส่วนที่จะมีช่างนาฬิกา และโรงงานนาฬิการะดับใหญ่นั้น จะมีเพียงไม่กี่แบรนด์ และหนึ่งในนั้นก็คือ CHRISTOPHE CLARET แบรนด์นาฬิกาที่มีช่างนาฬิกาที่มากด้วยความสามารถ รวมทั้งโรงงานที่มีศักยภาพในการผลิต ซึ่งเป็นการผลิตให้ทั้งแบรนด์ของตนเองและผลิตงานให้แบรนด์อื่นๆ พร้อมๆ กัน
โดยช่างนาฬิกาชื่อเดียวกับแบรนด์ Mr. Christophe Claret เป็นหนึ่งในช่างนาฬิกาผู้มากด้วยฝีมือในวงการนาฬิกาโลกยุคปัจจุบัน งานสำคัญของ Mr. Christophe Claret ที่ฝากกับแบรนด์ต่างๆ มีอยู่มากมาย ตั้งแต่ ULYSEE NARDIN, PARMIGIANI, CORUM รวมไปถึงแบรนด์อื่นๆ อีกมาก โดยกลไกฟังก์ชั่นสำคัญๆ ที่ผ่านการออกแบบโดย Mr. Christophe Claret มีตั้งแต่โครโนกราฟสปลิทเซคคั่น ตูร์บิยอง รวมทั้งมินิทรีพีทเตอร์ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นฟังก์ชั่นคลาสสิคที่วงการนาฬิกาให้การยอมรับ
กว่า 10 ปีที่ CHRISTOPHE CLARET เปิดตัวและนำเสนอผลงานออกสู่ตลาด ก็เรียกเสียงฮือฮาให้กับผู้คนได้ในทุกปี ซึ่งนอกจากฟังก์ชั่นคลาสสิคระดับสูงทั่วไปอย่างที่กล่าวไปแล้ว ยังมีอีกหลากหลายรูปแบบจาก CHRISTOPHE CLARET ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือรูปแบบการแสดงเวลาแบบพิเศษ รวมทั้งการใช้กระจกแซฟไฟร์ในรูปแบบพิเศษต่างๆ ที่ทำให้นาฬิกาหลายรุ่นจาก CHRISTOPHE CLARET มีความโดดเด่นจากนาฬิกาทั่วไปตั้งแต่แรกเห็น
สำหรับงาน BANGKOK INDEPENDENT WATCHMAKING EXHIBITION 2019 ทาง CHRISTOPHE CLARET เลือกนาฬิการุ่น Aventicum สร้างเป็นนาฬิการุ่นพิเศษแบบยูนีคพีซ Aventicum Thailand Edition โดยนาฬิการุ่นนี้มีความโดดเด่นเป็นพิเศษบริเวณกลางหน้าปัด ที่สามารถมองเห็นช้างไทยที่ผลิตจากทองหนึ่งตัว ที่ผ่านการแกะสลักด้วยเทคโนโลยีไมโคร-เอ็นเกรฟ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5-3 มิลลิเมตร ยืนเด่นเป็นสง่าผ่านกระจกส่องขยาย ให้ผู้สวมใส่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งเทคนิคนี้ทาง CHRISTOPHE CLARET เรียกว่ามิราสโคป (Mirascope) ที่เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่พัฒนาจากแบรนด์นี้
นอกจากนี้ ยังมีการใช้โทนสีดำและทอง ในการสร้างให้เห็นเป็นภาพของเจดีย์ ที่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในภาพลักษณ์สำคัญของประเทศไทย และทาง CHRISTOPHE CLARET ได้รับอนุญาตจากทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้ใช้ภาพสัญลักษณ์ต่างๆ เหล่านี้ โดยรวมไปถึงภาพโขลงช้างที่ วิ่งอยู่รอบกระจกแซฟไฟร์ด้านหลัง ที่สร้างจากเทคนิคการแกะสลักกระจกแซฟไฟร์ด้านใน เพื่อให้ความเป็นนาฬิกายูนีคพีซสำหรับประเทศไทยเรือนนี้สมบูรณ์แบบ นาฬิกา CHRISTOPHE CLARET รุ่น Aventicum Thailand Edition เรือนนี้ทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติอินเฮ้าส์คาลิเบอร์ AVE15 ขึ้นลานด้วยโรเตอร์ที่ผลิตจากกระจกแซฟไฟร์ เพื่อความโปร่งใสและสามารถมองผ่านให้เห็นการทำงานของกลไกได้อย่างชัดเจน พลังสำรองลานนาน 72 ชั่วโมง ความถี่ 28,800 รอบต่อชั่วโมง (4 เฮริท์ซ) โดยมีกลไกพิเศษให้ชุดเข็มแสดงเวลา สามารถทำงานได้อย่างอิสระรอบหน้าปัดด้านใน
ขนาดตัวเรือน 44 มิลลิเมตร หนา 18.49 มิลลิเมตร กันน้ำ 30 เมตร ตัวเรือนผลิตจากเรดโกลด์ และไทเทเนียมเกรด 5 พีวีดีสีเทา มาร์กเกอร์อโนไดซ์สีดำบนขอบสเกลพิ๊งค์โกลด์ หน้าปัดด้านในเคลือบแลคเกอร์สีดำ เม็ดมะยมผลิตจากเรดโกลด์ ผนึกไทเทเนียมเกรด 5 พีวีดีสีเทา เข้ากันกับตัวเรือน ใช้งานกับสายหนังจระเข้พร้อมหัวเข็มขัดรัดสาย
ชมผลงานเรือนจริงของนาฬิกาเรือนนี้ได้ ตั้งแต่วันที่ 4 ถึง 8 กันยายน ที่ชั้น G เกษรวิลเลจ พร้อมพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้อย่างลึกซึ้ง กับช่างนาฬิการะดับโลกตัวจริงท่านนี้ได้ในทุกวันช่วงจัดแสดงงาน