THE COLLABORATION from Pressure Environment

 

By Dr. Attawoot Papangkorn

 

เคยสังเกตกันหรือไม่ว่า เครื่องบอกเวลารุ่นนี้ดูจะเข้ากันได้กับทุกบุคคล และทุกการแต่งตัว แล้วจะมีสักกี่คนที่ไม่ใส่นาฬิกา แล้วจะผิดไหมถ้าเครื่องบอกเวลา ถูกนำมาร้อยเรียงเรื่องราวร่วมกับสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นสุภาพบุรุษมากที่สุด นั่นก็คือเหล้าและยาสูบ

 

56565qqq

 

Zenith X Cohiba

 

ไม่บ่อยครั้งนักที่โลกแห่งนาฬิกา และยาสูบจะมาบรรจบพบกัน นักเล่นนาฬิกาทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นมือสมัครเล่น หรือเซียนนาฬิกาคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้จัก Zenith แบรนด์นาฬิกาตลาดบนจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการเครื่องบอกเวลามายาวนานถึง 154 ปี ซึ่งเป็นเครื่องตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า ถ้าเป็นเรื่องนาฬิกา Zenith คือแบรนด์ระดับแนวหน้าตัวจริงเสียงจริงโดยไม่ต้องอิงนิยาย ซึ่งคงไม่ต่างอะไรกับ Cohiba สักเท่าไหร่ เพราะ Cohiba ก็เป็นแบรนด์ซิการ์ระดับพรีเมี่ยมจากประเทศคิวบา เริ่มกิจการขึ้นในปี พ.ศ. 2509 ดำเนินกิจการและบริหารโดยรัฐบาลคิวบามาโดยตลอด จึงทำให้แบรนด์มีความแข็งแกร่ง และถือเป็นหนึ่งในรายได้หลักของประเทศคิวบาเลยทีเดียว คำว่า Cohiba แปลแล้วมีความหมายว่า “ยาสูบ” ซึ่งมาจากรากศัพท์ของชาว Taino ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของพื้นที่แถบนั้น ส่วนเรื่องคุณภาพของซิการ์แบรนด์นี้คงไม่ต้องพูดถึงกันมากนัก เพราะได้รับการยอมรับจากนักสูบทั่วโลก ว่ามีคาแรคเตอร์ที่จัดจ้านและชัดเจน ถือเป็นหนึ่งในตองอูสำหรับวงการยาสูบเลยทีเดียว

 

Zenith El Primero Chronomaster Cohiba Edition 2

 

จากบริบทเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้เกริ่นไปตอนต้นนั้น ทำให้ Zenith และ Cohiba ดูจะเป็นคู่หูที่เหมาะสมกันดี จึงเป็นแรงผลักดันให้ทั้งสองตัดสินใจร่วมมือกันผลิตนาฬิการุ่นลิมิเต็ดซีรี่ส์ออกมา เพื่อฉลองวาระครบรอบห้าสิบปีแห่งประวัติศาสตร์ของ Cohiba และคลอดออกมาเป็นนาฬิกา Zenith รุ่น El Primero Chronomaster Cohiba Editions ซึ่งผลิตเพียงแค่ 550 เรือนทั่วโลก (ตัวเรือนแบบโรสโกลด์ 50 เรือน และตัวเรือนสตีล 500 เรือน) ดังนั้นสำหรับแฟน Zenith และ Cohiba จึงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

 

Zenith El Primero Chronomaster Cohiba Edition 8

 

Zenith El Primero Chronomaster Cohiba Edition 10

 

Hublot X Johnnie Walker

 

หากพูดถึงเหล้าประเภทวิสกี้ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องนึกถึงแบรนด์ Johnnie Walker เป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน และนายจอห์นนี่คนนี้เอง ก็ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในวงแคบๆ แต่ยังได้รับความนิยมไปทั่วโลก หรืออาจพูดได้ว่าเป็นวิสกี้ที่โด่งดังที่สุดในโลก (ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าอร่อยสุดในโลก) โดยเฉพาะตลาดที่ขึ้นชื่อว่ามีกำลังซื้อและกำเนิดเศรษฐีใหม่มากที่สุด นั่นก็คือจีนแผ่นดินใหญ่ ด้วยเหตุนี้แบรนด์สินค้าลักซ์ชัวรี่ทั้งหลาย โดยเฉพาะแบรนด์นาฬิกา จึงเห็นถึงโอกาสที่จะได้ก้อนเนื้อชิ้นโตมากินให้อิ่มแปล้ และคงจะเป็นการไม่ฉลาดนัก หากคนนั้นเมินอาตี๋อาหมวยกระเป๋าหนักเหล่านี้ไป แต่การจะให้เศรษฐีเหล่านั้นหันมามอง และยอมปล่อยเงินก้อนโตหลุดออกจากกระเป๋าได้ ก็ต้องขายอะไรที่พิเศษๆ กันหน่อย ของธรรมดาๆ ใครๆ เค้าก็มีกัน

 

3H900

 

Hublot แบรนด์นาฬิกาสุดหรูจากสวิตเซอร์แลนด์ (แน่นอนและอีกแล้ว) อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขในแวดวงผู้ผลิตนาฬิกามาตั้งแต่ยุค 80s ได้ผลิตนาฬิกา Hublot รุ่น Big Bang Aero Johnnie Walker House Limited Edition มีจำนวนจำกัดสุดๆ เพียงแค่ 25 เรือนเท่านั้น โดยจับมือกับ Johnnie Walker เพื่อวางขายนาฬิการุ่นนี้เฉพาะประเทศจีนเท่านั้น (เอาใจสุดๆ) โดย Hublot ได้ระดมสมองร่วมกับ Johnnie Walker House สาขากรุงปักกิ่ง ประเทศจีนในการออกแบบทั้งหมด เพื่อให้นาฬิการุ่นนี้เปรียบดั่ง "ทูตแห่งวัฒนธรรมวิสกี้" จนเป็นที่กรี้ดกร้าดแก่เหล่าเศรษฐีในจีนและทั่วโลก เนื่องจากถูกผลิตมาน้อยจริงๆ ใครมีครอบครองนี่พูดได้เลยคว่าไม่ธรรมดาแน่ๆ

 

4H900

 

1H900

 

ดูไปดูมาการขายของประเภทลักซ์ชัวรี่ ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเหมือนกัน เพราะเศรษฐีทั้งหลาย ไม่ว่าจะหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ ต่างก็มีสิ่งที่ละม้ายคล้ายกันอยู่อย่างนึง นั่นก็คือเบื่อง่ายหน่ายเร็ว และต้องการความพิเศษอยู่เสมอ ดังนั้นการที่จะดึงเงินจากกระเป๋าลูกค้าออกมาด้วยวิธีเดิมๆ นับวันก็ดูจะยากขึ้นไปทุกที จึงไม่แปลกที่จะเห็นการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์เพื่อเปิดโอกาส และเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็ดูไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็เกิดขึ้นมาแล้วบ่อยครั้ง และหลายๆ ครั้งก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าซะด้วย อย่างเช่น Louis Vuitton X Supreme ที่ขายดีแสนดีแม้จะแพงระยับ หรือแม้แต่ Rolex เองก็เคยทำนาฬิการุ่น Air-king Domino’s pizza edition มาแล้ว ใครจะรู้ว่าในอนาคต ตลาดลักซ์ชัวรี่จะมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์อะไรต่อมิอะไรกันอีก อย่าว่าแต่ตลาดลักซ์ชัวรี่เลย ลองดูสิ่งใกล้ตัวอย่างวงการเพลงในบ้านเราก็ได้ว่ามีศิลปินสักกี่คนที่ออกเพลงโดยไม่มีการฟีจเจอร์ริ่งกับใครเลย นั่นก็เพราะโลกทุกวันนี้ ทุกคนล้วนต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดกันทั้งนั้น เหมือนดั่งโบราณที่ว่า “หนึ่งคนหัวหาย สองคนเพื่อนตาย” ซึ่งก็ไม่ไกลเกินจริงไปเลย