M.A.D. 2

หาก M.A.D.1 ถือเป็นนาฬิกาที่แหกกฎเกณฑ์แล้ว M.A.D.2 ก็น่าจะเป็นเรื่องราวที่แตกต่างออกไป กับนาฬิกาเรือนนี้ที่เกิดจากความคิดของ Eric Giroud นักออกแบบนาฬิกาและเพื่อนเก่าแก่ของ MB&F จากความเป็นนาฬิกาที่ถือเป็นจดหมายรัก อันสื่อถึงจิตวิญญาณที่ดุเดือดและน่าตื่นเต้น ของวัฒนธรรมจากคลับในยุค 90s และยังเป็นองก์ที่สองในเรื่องราวที่เริ่มต้น ด้วยเพลงฮิตที่ไม่เคยมีใครคาดคิด เหมือนเสียงเบสที่ดังเป็นจังหวะ เสียงไวนิล และค่ำคืนที่เลือนลางที่ดูนุ่มนวลเหมือนอัลมอนด์ แต่โดดเด่นในความเป็น M.A.D. อย่างแท้จริง
จากกรณีที่ผิดพลาดในตอนต้นของ M.A.D. Editions ที่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมความผิดหวัง จากความคิดที่ครอบครัวและเพื่อนสนิท ที่ไม่สามารถซื้อนาฬิกา MB&F ได้ จึงมีการนำเสนอสิ่งที่สร้างสรรค์เหมือนกันให้กับทุกคน แต่ในราคาที่เอื้อมถึงได้ในช่วงปี 2021 ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 กับการตัดสินใจปล่อยผลลัพธ์นี้ ในรูปแบบของการออกจำหน่ายในครั้งเดียวซึ่งมีเพียง 500 เรือนเท่านั้น โดยสงวนไว้สำหรับซัพพลายเออร์ของเราซึ่งก็คือ “เพื่อน” และทุกคนที่สนับสนุนแบรนด์นี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งก็คือ “เผ่า” (Tribe)
และ M.A.D.1 ถูกแชร์ข้อมูลไปในรูปแบบอีเมลธรรมดาๆ ไม่มีการรณรงค์ที่ฉูดฉาด ไม่มีการโพสต์บนโซเชียลมีเดีย มีเพียงข้อความขอบคุณสำหรับความไว้วางใจ และความภักดีของทุกคนซึ่งในไม่กี่วันต่อมา สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็เกิดขึ้น ภาพต่างๆ หลุดออกมาบน Instagramพร้อมชุมชนนาฬิกาที่ส่งกระแสตอบรับ มาอย่างร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ “พูดจริงเหรอ? ในที่สุดก็สามารถซื้อนาฬิกาของแบรนด์ได้ซักที แต่ไม่มีจำหน่ายแล้วเหรอเนี่ย?” และไม่กี่สัปดาห์ต่อมาที่ Maximilian Büsser ผู้ก่อตั้งแบรนด์ MB&F ก็ได้อธิบายโปรเจ็คท์นี้กัน
ในวิดีโอสั้นๆ เนื้อหาว่า “นี่ไม่ใช่แบรนด์แต่เป็นแค่โปรเจ็คท์เพียงครั้งเดียว แต่เมื่อได้รับเสียงตอบรับนี้แล้ว ก็ให้เวลาอีกซักหน่อย เราจะมีบางอย่างสำหรับทุกคน” ซึ่งในเวลาไม่นานในปี 2022 ก็มีการนำเสนอ M.A.D.1 รุ่นแรกสำหรับทุกคน และความตื่นเต้นก็เริ่มต้นขึ้น แต่แทนที่จะให้ผู้คนจะเข้าคิวหน้าร้าน MB&F กลับกลายเป็นการเปิดตัวระบบ การจับฉลากซึ่งยังคงใช้มาจนถึงทุกตอนนี้ โดยหลังจาก M.A.D.1 Blue รุ่นแรก ก็มีรุ่นตามมาอีกสองรุ่นได้แก่ Red และ Green จนต่อมากับผลงานการร่วมมือกับ Jean-Charles de Castelbajac
รุ่น 'Time to Love' จนกระทั่งถึง M.A.D.1S ที่เพรียวบางและทันสมัยยิ่งขึ้น และทำงานด้วยกลไกที่ผลิตในสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีแฟนๆ หลายพันคนยังคงลงทะเบียนเพื่อจับฉลากในแต่ละรุ่น ซึ่งระหว่างนั้น M.A.D.1 Red ก็ยังได้รับรางวัล Challenge Prize จากงาน Grand Prix d’Horlogerie de Genève (GPHG) ในปี 2022 สำหรับนาฬิกาที่ดีที่สุดในราคาที่ต่ำกว่า 3,500 ฟรังก์สวิส ซึ่งในช่วงนั้นทีมงานก็พบหนทางใหม่ ที่ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตามแต่ M.A.D. Editions ก็ค่อยๆ พัฒนาเป็นแบรนด์ในวันนี้แล้ว แต่ยังมีจุดพลิกผันอีกอย่าง
นั่นก็คือ M.A.D. Editions จะมีการลงนามเสมอ ซึ่งใน M.A.D.1 จะเห็นชื่อ Maximilian Büsser สลักอยู่บนฝาหลัง และในบทที่สองนี้ M.A.D.2 ก็จะลงนามโดย Eric Giroud นักออกแบบชื่อดังกับช่วงเวลา 20 ปีแห่งการออกแบบผลงานต่างๆ มากมายของ MB&F และเป็น 20 ปีแห่งความร่วมมือสร้างสรรค์งานให้กับ Max ดังนั้นสำหรับวันครบรอบ 20 ปีของ MB&F จึงถือเป็นสิ่งที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะนี่คือผลงานอันหลากหลายของเขาเช่นกัน โดยทั้ง Eric และ Max ต่างมาจากโลซานน์ในช่วง 90s โดย Eric สนุกสุดเหวี่ยงบนฟลอร์เต้นรำ
พร้อมการใช้ชีวิตในคลับระดับตำนานอย่าง MAD (Moulin à Danses) และ Dolce Vita ในโลซานน์ที่ล้อมรอบไปด้วยนักดนตรี นักแสดง ศิลปิน และดีเจ เช่น Sébastien และ Stephan Kohler ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ Shakedown แต่ในช่วง 90s Stephan จะทำงานด้านการมิกซ์เสียงในชื่อ "Mandrax" และได้สร้างเพลงที่เต้นเป็นจังหวะในวิดีโอ ในขณะที่ M.A.D. 2 จะมาพร้อมหน้าปัดย่อยทั้งสองที่ยกขึ้น ซึ่งแสดงชั่วโมงและนาทีจนดูเหมือนเครื่องเล่นแผ่นเสียง จากคอนโซลมิกซ์เสียงของดีเจ บนหน้าปัดใหญ่ลายแผ่นเสียงไวนิล
โดยมีร่องและการตกแต่งแบบซาตินเลียนแบบแทร็กเพลง ซึ่งรอบๆ จะเป็นจานหมุนที่ได้รับแรงบันดาลใจ จากสายสโตรโบสโคปิกของเครื่องเล่นแผ่นเสียง TECHNICS รุ่น SL-1200 Mark 2 ในตำนาน ซึ่งมาพร้อมกับหมุดที่เรืองแสงจากซุปเปอร์-ลูมิโนว่า โดยการสะบัดข้อมือทุกครั้งจะทำให้จานหมุนวิ่งไปรอบ ซึ่งก็คือโรเตอร์จากชุดกลไก ที่สามารถมองเห็นได้ทั้งจากด้านหน้าและด้านหลัง ในตัวเรือนสตีลขนาด 42 มิลลิเมตร ที่กรุด้วยกระจกแซฟไฟร์ ที่มีลักษณะเหมือนก้อนกรวดกลมๆ โดยมีเครื่องหมายโลหะขนาดเล็กเพื่อแสดงเวลา
กับเซอร์ไพรส์ของโมดูลชุดแสดงค่าชั่วโมง แบบจั๊มปิ้งในสองทิศทางที่พัฒนาโดยทีม MB&F และเช่นเดียวกับ M.A.D.1S ที่ทำงานด้วยชุดกลไกอัตโนมัติจาก LA JOUX-PERRET คาลิเบอร์ G101 ที่ผลิตในสวิตเซอร์แลนด์และทำงานด้วยความถี่ระดับ 4 เฮริท์ซพร้อมให้พลังสำรองลานนาน 64 ชั่วโมง นำเสนอในสองรุ่นทั้งแบบสีส้มที่สงวนไว้สำหรับ Tribe และFriends พร้อมกับแบบสีเขียวสำหรับการจับฉลาก ซึ่งทั้งสองรุ่นจะมีราคาที่ 2,900 ฟรังก์สวิสบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยสามารถชมข่าวการประชาสัมพันธ์ฉบับสมบูรณ์
พร้อมรูปภาพและวิดีโอทั้งหมดได้ที่ https://mbandf.com/media-center/machines/madeditions/mad2 หรือหากต้องการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการจับฉลาก ที่จะเปิดให้ลงทะเบียนได้ในวันอังคารที่ 1 เมษายน 2025 ก็สามารถเข้าร่วมได้ทาง http://www.mbandf.com/madeditions-raffle ตามสไตล์ของนาฬิกา M.A.D. Editions