BASELWORLD 2012 - New products preview #3
ตามมาติดๆ แล้วครับกับรายงานชุดที่ 3 ของ BASELWORLD 2012 NEW PRODUCTS PREVIEW โดย IAMWATCH ก่อนที่งานแสดงนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก BASELWORLD ประจำปี 2012 จะเปิดฉากขึ้นในเดือนมีนาคม 2012 กับอีก 10 รุ่น 10 แบรนด์ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
(ซ้าย) DE BETHUNE DB28 “Aiguille d’Or”
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระที่นาฬิกา DB28 ของ DE BETHUNE ได้รับรางวัล Aiguille d’Or หรือรางวัล Golden Hand จากรายการ Geneva Watchmaking Grand Prix เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2011 ทาง DE BETHUNE จึงได้ออกนาฬิกาลิมิเต็ดเอดิชั่นสุดพิเศษในจำนวนจำกัด 50 เรือน ในตัวเรือนไทเทเนียมโดยใช้ชื่อว่า DB28 “Aiguille d’Or ซึ่งก็คือเรือนที่เห็นอยู่นี้ ซึ่งนอกจากคุณสมบัติเด่นประจำตัว DB28 อย่างพระจันทร์ลูกกลมและบาลานซ์ที่ผลิตจาก ซิลิคอน/พัลลาเดียม และการขัดแต่งเครื่องด้วยมืออย่างงดงามแล้ว รุ่นเวอร์ชั่นพิเศษนี้ได้ประดับบาแก็ตต์พิ้งค์โกลด์เพิ่มลงไปบนเข็มนาทีและมีระบุชื่อรุ่นพิเศษและหมายเลขประจำตัวเรือนลงบนขอบฝาหลังเพื่อแสดงความภาคภูมิใจแห่งรางวัลเกียรติยศนี้ด้วย
(ขวา) DUBEY & SHALDENBRAND Grand Dome DT Vintage 1946
นาฬิกาตัวเรือนทรงตอนโนขนาด 37 x 52 มิลลิเมตรของรุ่น Grand Dome DT ได้รับการปรับปรุงอีกครั้งด้วยงานออกแบบหน้าปัดสไตล์วินเทจสีงาช้างที่เพิ่มความขลังด้วยวงโครโนกราฟทรงตอนโนแนวตั้ง 2 วงบน-ล่างคล้องเชื่อมกันด้วยวงวันที่ทรงกลมตรงกลางหน้าปัดซึ่งชี้บอกด้วยเข็ม ภายในวงโครโนกราฟด้านบนมีช่องหน้าต่างคู่บอกวันที่และเดือน ส่วนวงโครโนกราฟด้านล่างจะมีช่องหน้าต่างบอกมูนเฟส ทำงานด้วยเครื่องอัตโนมัติ Valjoux 7751 สลักตราประจำครอบครัวของหมู่บ้าน Les Ponts-de-Martel ในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแบรนด์ด้วยมือลงบนเครื่องอย่างประณีต ผลิตในจำนวนจำกัดแบบลิมิเต็ดซีรี่ส์เพียง 65 เรือน
(ซ้าย) DEWITT Twenty-8-Eight Skeleton
DEWITT นำเสนอรุ่นที่ 3 ของซีรี่ส์ Twenty-8-Eight ด้วยงานสเกเลตันบนตัวเรือนไวท์โกลด์ขนาด 43 มิลลิเมตร ขอบตัวเรือนประดับเพชรบาแกตต์ 36 เม็ดในรุ่นที่เห็นอยู่นี้ โดยมาพร้อมกับเครื่องตูร์บิยองอินเฮ้าส์รุ่นแรกของตน Calibre DW8028 ซึ่งประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนทั้งหมด 185 ชิ้น โดยสร้างความตื่นตาของการมาในครั้งนี้ด้วยการนำชิ้นส่วนที่ทำจากทองคำมาประกอบร่วมกับชิ้นส่วนที่ทำจากสตีลกลายเป็นเครื่องที่มีสีแบบทูโทนแถมยังทำสเกเลตันอีกต่างหาก ขอบหน้าปัดโดดเด่นด้วยการฝังเพชรลงบนหลักชั่วโมง
(ขวา) CORUM Admiral’s Cup Legend 38 Mystery Moon
Admiral’s Cup สำหรับคุณผู้หญิงรุ่นนี้ มากับขอบตัวเรือนประดับเพชร 72 เม็ด และหน้าปัดที่ทำจากเปลือกหอยมุกซึ่งได้รับการสลักเป็นแถบขาว-ดำสลับกันเป็นรัศมีพระอาทิตย์กระจายออกจากศูนย์ซึ่งออกแบบเป็นช่องหน้าต่างบอกวันที่ ณ ตำแหน่ง 2 นาฬิกา โดยมีวงหน้าปัดย่อย ณ ตำแหน่ง 8 นาฬิกา บอกมูนเฟสภายในช่องหน้าต่างด้านในห้อมล้อมด้วยหมู่ดาวประดับเพชร
(ซ้าย) EPOS Ref.3391
Ref.3391 จาก EPOS รุ่นนี้ มากับหน้าปัดสีมิดไนท์บลูสื่อถึงผืนฟ้ายามค่ำคืนและแต่งแต้มด้วยจุดสีขาวเล็กๆ แทนหมู่ดาว มีหน้าต่างแสดงมูนเฟส ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ล้อมรอบหน้าปัดด้วยวงวันที่ซึ่งชี้บอกด้วยเข็มกลางปลายเสี้ยวพระจันทร์ บอกวันและเดือนบนแถบเส้น 2 แถบ ซึ่งไม่ขนานกันให้ความแปลกตาในยามมอง มากับตัวเรือนสตีลขนาด 41 มิลลิเมตร
(ขวา) AEROWATCH Renaissance Black Tornado
Renaissance Black Tornado จาก AEROWATCH มาในมาดเคร่งขรึมกับตัวเรือนสตีลแคลือบพีวีดีดำ ที่เปิดเผยเนื้อแท้ของเครื่องที่ซ่อนอยู่ภายในด้วยงานโครงสร้างเพลทแบบสเกเลตันเต็มรูปแบบด้วยเส้นสายสไตล์โมเดิร์น และโครงสร้างนี้รวมถึงชิ้นส่วนต่างๆ ของกลไกยังนำมาเคลือบดำด้วยกรรมวิธี NAC อีกต่างหาก แน่นอนว่าทำขนาดนี้แล้วจะเอาหน้าปัดใดๆ มาบดบังก็กระไรอยู่จึงไม่ต้องมีมันเสียเลยเหลือไว้เพียงตัวเลขบอกชั่วโมงกับสเกลนาทีบนขอบหน้าปัดเท่านั้น จึงทำให้เห็นการทำงานของเมนสปริงและเฟืองต่างๆ ของกลไกจักรกลได้อย่างชัดเจน
(ซ้าย) TISSOT Le Locle Automatic Chronometer Edition
นาฬิการุ่น Le Locle จาก Tissot เป็นรุ่นที่ครองรางวัลชนะเลิศแห่งการประกวดความเที่ยงตรงในการทำงานประเภทนาฬิกาคลาสสิกจากรายการ Chronometrie 2011 International Timing Competition เมื่อปีที่ผ่านมา และขณะนี้ก็ได้เปิดตัวนาฬิกา Le Locle รุ่นใหม่ในชื่อว่า Le Locle Automatic Chronometer Edition ที่เห็นอยู่นี้ ในตัวเรือนที่มีให้เลือก 2 แบบ คือ สตีลเคลือบพิงค์โกลด์พีวีดี หรือแบบทูโทน มาพร้อมหน้าปัดสีดำแกะลายกิโยเช่ที่ส่วนกลางกับหลักชั่วโมงและเข็มสไตล์คลาสสิก ทำงานด้วยเครื่องขึ้นลานอัตโนมัติที่ได้รับการรับรองความเที่ยงตรงระดับโครโนมิเตอร์จาก COSC ซึ่งมองเห็นการทำงานได้ผ่านทางฝาหลังกรุกระจกใส สวมใส่คู่กับสายหนังหรือสายสตีล
(ขวา) LONGINES The Longines Saint-Imier (Ref.L2.753.5.72.7)
นาฬิกาจากคอลเลคชั่น The Longines Saint-Imier ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากนาฬิการูปแบบดั้งเดิมของแบรนด์ในยุคเริ่มต้นซึ่งถือกำเนิดเมื่อปี 1832 ซึ่งสังเกตได้จากสไตล์การออกแบบหน้าปัด รุ่นโครโนกราฟในตัวเรือนสตีลทูโทน สตีล/พิงค์โกลด์ ขนาด 39 มิลลิเมตร หน้าปัดโทนสีเงินที่เห็นอยู่นี้ถูกประจำการด้วยเครื่องขึ้นลานอัตโนมัติคอลัมน์วีลโครโนกราฟ Calibre L688 ซึ่งทาง ETA พัฒนาและผลิตสำหรับ Longines โดยเฉพาะ
(ซ้าย) FREDERIQUE CONSTANT Black Beauty
เวอร์ชั่นใหม่ปี 2012 ของรุ่น Double Heart Beat สำหรับคุณผู้หญิงรุ่นนี้ มากับหน้าปัดเปลือกหอยมุกสีดำเหลือบน้ำเงินซึ่งให้ความรู้สึกลึกลับน่าค้นหากว่าที่เคย ส่วนเอกลักษณ์ประจำรุ่นซึ่งส่งให้นาฬิการุ่นนี้โด่งดังและได้รับความนิยมอย่างช่องหน้าต่างรูปหัวใจคู่ซ้อนกันที่เปิดให้เห็นการทำงานของเครื่องขึ้นลานอัตโนมัติอันเป็นที่มาของชื่อรุ่น หน้าปัดส่วนกลางแกะลายรูปหัวใจ กับหลักชั่วโมงและขอบตัวเรือนประดับเพชร ก็ยังคงทำหน้าที่สร้างความงดงามให้กับนาฬิการุ่นนี้เหมือนเช่นเคย สวมใส่คู่กับสายซาตินสีเข้มเข้ากับโทนหน้าปัด
(ขวา) GC Classica Automatic
นาฬิกากลไกอัตโนมัติสำหรับคุณผู้ชายรุ่นใหม่จาก GC ที่เห็นอยู่นี้ มาในตัวเรือนขนาด 42 มิลลิเมตร ที่ออกแบบให้มีสไตล์แบบวินเทจลุคทั้งเรือน หน้าปัดใช้สีเทาแอนทราไซต์ ติดหลักชั่วโมงเลขอารบิกร่วมกับแบบแท่งบนแถบวงกิโยเช่ พร้อมเปิดหน้าปัดเป็นช่องรูปเสี้ยวพระจันทร์ให้เห็นเพลทของเครื่อง แน่นอนว่ายังมีตัวเรือนกับหน้าปัดสีอื่นๆ ออกมาให้เลือกด้วย
By: Viracharn T.