GRAND SEIKO, Elegance Collection, Ref. SBGW295
ประวัติศาสตร์ของ SEIKO เริ่มต้นขึ้นในปี 1881 เมื่อ Kintaro Hattori เปิดร้านรับซ่อมและจำหน่ายนาฬิกาขึ้นที่กินซ่า และในปี 1913 ที่ได้ผลิตนาฬิกาภายใต้ชื่อ LAUREL ซึ่งเป็นนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของญี่ปุ่นขึ้นมา จากนั้นความสำเร็จซึ่งเป็นการยกระดับ ศิลปะการผลิตนาฬิกาก็ได้ถือกำเนิดขึ้นตามมาอีกมากมาย ตั้งแต่นาฬิกาแบบแรกของ GRAND SEIKO ในปี 1960 สู่การแสดงประสิทธิภาพที่สั่นสะเทือนวงการ ด้วยการเข้าทดสอบความแม่นยำกับสถาบันระดับโลกในสวิตเซอร์แลนด์ (หอดูดาวที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่ๆ แบรนด์นาฬิกาทั่วโลกในเวลานั้น ส่งกลไกไปทดสอบความเที่ยงตรง) ไปจนถึงเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ นั่นก็คือกลไกสปริงไดรฟ์ ที่นำเสนอในปี 1999
ดังนั้นเนื่องด้วยปีนี้เป็นวาระครบรอบ 110 ปีของนาฬิกา LAUREL จึงถือเป็นโอกาสสำคัญเช่นกัน ในการฉลองด้วยการนำเสนอซีรี่ส์นาฬิกาเพื่อการรำลึก ซึ่งรวมถึงนาฬิกา GRAND SEIKO ที่ผลิตออกมาในแบบจำนวนจำกัดรุ่นใหม่นี้ด้วยเช่นกัน โดยนำแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ มาจากมรดกทางเทคโนโลยีและการออกแบบอันล้ำค่า เช่นเดียวกันกับนาฬิกาทุกรุ่นในซีรี่ส์แห่งการฉลองในปีนี้ จากนาฬิการุ่นแรกของ GRAND SEIKO ในปี 1960 ที่มีทั้งความทนทานและอายุการใช้งานที่ยาวนาน ที่ถือเป็นเป้าหมายหลักของ GRAND SEIKO เพื่อให้แบรนด์สามารถอยู่บนเส้นทางในการสร้างสุดยอดนาฬิกา และเป็นที่มาของการสร้างสรรค์เรือนเวลาแบบแรกของ GRAND SEIKO ขึ้นใหม่ด้วยบริลเลียนท์ฮาร์ดไทเทเนียม
ซึ่งมาพร้อมรายละเอียดอันครบถ้วนจากนาฬิการุ่นต้นแบบที่นำเสนอในปี 1960 โดยเรือนเวลารุ่นนี้ใช้หน้าปัดแลคเกอร์แบบอุรุชิ ร่วมกับหลักชั่วโมงแบบมากิ-เอะ ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อท้าทายกาลเวลา และเพื่อให้เป็นที่สะกดใจแก่ผู้หลงใหลนาฬิกา ในทุกเจเนอเรชั่นด้วยเอกลักษณ์ความงามในแบบฉบับของประเทศญี่ปุ่น โดยแลคเกอร์แบบอุรุชิ ถือเป็นหนึ่งในงานฝีมือแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ซึ่งการใช้แลคเกอร์ชนิดนี้สามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงยุคโจมอนของญี่ปุ่นหรือ 13,100 ปีก่อนคริสตศักราชถึง 400 ปี ก่อนคริสตศักราช โดยในปัจจุบันแลคเกอร์แบบอุรุชิ ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มระดับของการตกแต่งบนพื้นผิวในชิ้นงานเครื่องใช้ต่างๆ จากประโยชน์ในอดีตที่ถูกนำมาใช้เพื่อคุณภาพในการฆ่าเชื้อและกันเสีย
โดยแลคเกอร์แบบอุรุชิชนิดที่ GRAND SEIKO เลือกใช้จะมีความโดดเด่นและแตกต่าง จากแหล่งผลิตในประเทศญี่ปุ่นที่หาได้ยากมาก เนื่องจากในปัจจุบันอุรุชิส่วนใหญ่นั้นถูกผลิตขึ้นที่ประเทศอื่น โดยสีดำสนิทแบบเจท-แบล็คของอุรุชิ บนหน้าปัดนาฬิการุ่นนี้เกิดขึ้นได้จากการเพิ่มสัดส่วนของเหล็ก อีกทั้งแลคเกอร์ชนิดนี้ยังถูกปรับปรุงเพิ่มด้วยกรรมวิธีพิเศษตามแบบเฉพาะตัวของ GRAND SEIKO ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้สีเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อกาลเวลาผ่านไป ส่วนหลักชั่วโมงแบบมากิ-เอะ เกิดขึ้นจากฝีมือของ Isshu Tamura อาจารย์ผู้สร้างงานอุรุชิที่สตูดิโอของเขาในเมืองคานาซาวาที่แปลว่า “บึงแห่งทอง” ที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น โดยหลักชั่วโมงและชื่อ GRAND SEIKO จะถูกสร้างขึ้นทีละชั้นด้วยการลงแลคเกอร์
เพื่อทำให้มีลักษณะเป็นสามมิติอันเป็นคุณลักษณะสำคัญของมากิ-เอะ ส่วนขั้นตอนต่อมาก็คือการแต่งด้วยผงทอง 24 เค จากการที่คำว่ามากิ-เอะมีความหมายถึงการโรยผงทองลงบนภาพวาด ซึ่งเป็นการลงผงทองและขัดอย่างพิถีพิถันด้วยเครื่องมือพิเศษของช่างฝีมือ โดยกระบวนการนี้ต้องใช้ความชำนาญและความแม่นยำเป็นอย่างสูงถึงระดับไมครอน และการผลิตหลักชั่วโมงให้มีความลึกและความกว้างเสมอกัน บนพื้นผิวที่โค้งอย่างหน้าปัดของนาฬิการุ่นนี้ ที่ถือเป็นความท้าทายที่ต้องใช้ฝีมือของช่างระดับอาจารย์ เพื่อคงภาพตามแบบนาฬิการุ่นแรกของ GRAND SEIKO พร้อมกับลักษณะวินเทจย้อนยุคอันโดดเด่น ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรดาคนรักนาฬิกาจะจดจำได้ในทันที แม้จะถูกตกแต่งด้วยการเทคนิคอุรุชิ และมากิ-เอะ
ที่หน้าปัดผิวโค้งและตัวอักษร GRAND SEIKO ก็ยังคงมีรูปแบบตามงานสร้างสรรค์ดั้งเดิมเมื่อปี 1960 โดยสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากงานฝีมือของชาวญี่ปุ่นเช่นเดียวกับนาฬิกา GRAND SEIKO ทุกเรือน จึงถือเป็นการนำดีไซน์อันเป็นที่รักของผู้คน เพื่อก้าวไปสู่ระดับใหม่ โดยนาฬิกาเรือนนี้ทำงานด้วยกลไกไขลานอินเฮ้าส์คาลิเบอร์ 9S64 ที่ทำให้ได้มาซึ่งรูปร่างที่เพรียวบาง พร้อมความแม่นยำในการแสดงเวลาถึง +5 ถึง -3 วินาทีต่อวัน โดยตัวเรือนและชุดล็อคสายจะผลิตจากบริลเลียนท์ฮาร์ดไทเทเนียม ช่วยให้การสร้างสรรค์ครั้งใหม่ของนาฬิการุ่นแรกของ GRAND SEIKO นี้ไม่เพียงแค่สวยงามและมีน้ำหนักเบา แต่ยังมีความทนทานต่อการกัดกร่อนและการขีดข่วนในระดับสูงอีกด้วย
สำหรับโลหะผสมอันเป็นเอกสิทธิ์ของ GRAND SEIKO ชนิดนี้จะมีความสว่างกว่าไทเทเนียมแบบปกติ จึงทำให้พื้นผิวที่ถูกขัดเงาด้วยเทคนิคซารัทสึ เปล่งประกายความเงางามได้มากยิ่งขึ้น ในขณะที่มีความแข็งแกร่งเพิ่มเป็น 2 เท่าจากสตีลทั่วไป ใช้งานคู่กันกับสายหนัง 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นการนำเทคนิคการทอผ้าแบบดั้งเดิม ของญี่ปุ่นที่เรียกว่าโยโรอิโอริ ซึ่งเคยใช้สร้างชุดเกราะซามูไรในสมัยก่อนมาใช้ โดยมีแถบหนังลูกวัวและแถบผ้า ที่ถูกประสานเข้าด้วยกันโดยช่างฝีมือผู้ชำนาญการ เพื่อเสริมความทนทานให้กับสายนาฬิกา ส่วนสายชุดที่สองเป็นสายหนังที่มีความนุ่มนวล มีผิวที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว และให้ความสบายต่อการสวมใส่ โดยสายทั้งสองชุดจะสามารถใช้งานกับชุดล็อคสายบริลเลียนท์ฮาร์ดไทเทเนียมได้เป็นอย่างดี
นาฬิกา GRAND SEIKO คอลเลคชั่น Elegance ใน Ref. SBGW295นี้ จะมีตัวเรือนในขนาด 38.0 มิลลิเมตร หนา 10.9 มิลลิเมตร กรุกระจกแซพไฟร์ชนิดผิวโค้งทั้ง 2 ฝั่งที่ให้ความคมชัดสูงจากการเคลือบสารกันแสงสะท้อน พร้อมการกันน้ำที่ระดับ 3 บาร์ และความต้านทานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ระดับ 4,800 แอมแปร์/เมตร กับฝาหลังที่กรุกระจกเพื่อให้สามารถมองเห็นการทำงานของกลไก ที่ทำงานในความถี่ระดับ 28,800 รอบต่อชั่วโมง (8 บีทต่อวินาที) และให้พลังสำรองลานนานถึง 72 ชั่วโมง โดยจะผลิตในแบบลิมิเต็ดเอดิชั่น 500 เรือนและจะจำหน่ายเฉพาะที่บูติคนาฬิกา GRAND SEIKO และตัวแทนจำหน่ายบางแห่งทั่วโลกในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 โดยจะมีราคาจำหน่ายในประเทศไทยที่ 546,000 บาท โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.grand-seiko.com/global-en/collections/sbgw295g