BOVET 1822, History and Heritage
ตั้งแต่ปี 1797 ที่ Edouard Bovet ถือกำเนิดขึ้นที่เฟลอริเยร์ และเติบโตจนกระทั่งสามารถสร้างให้กิจการนาฬิกา BOVET ประสบความสำเร็จได้ โดย Henri-François Dubois-Bovet ได้เข้าเป็นเจ้าของชาโตว์เดอโมติเยร์ส (Château de Môtiers) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ได้ในปี 1835 และทำให้การผลิตนาฬิกายกระดับขึ้นไปอีกขั้น เนื่องจากวิวของเลอวาล-เดอ-ทราเวอร์ส เมื่อมองลงมาจากเฟลอริเยร์จะมีความสวยงามมาก และช่วยทำให้ช่างนาฬิกาสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะเชิงกลไกนี้ ได้ในแง่มุมที่ละเอียดอ่อนและแม่นยำมากขึ้น
ปี 1840 Frédéric Bovet ตัดสินใจย้ายจากลอนดอน เพื่อกลับไปตั้งฐานการผลิตอย่างเต็มตัวในเฟลอริเยร์ โดยมีช่างนาฬิกาและพนักงานรวมถึง 175 คน จนกระทั่ง Edouard Bovet เสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 52 ปี โดยทิ้งมรดกด้านชื่อเสียงของ BOVET ไว้ในประเทศจีน ซึ่งในขณะนั้นคำว่า BOVET เป็นคำพ้องความหมายสำหรับชาวสวรรค์ซึ่งก็หมายถึงชาวจีน ซึ่งทำให้เป็นอีกหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้นาฬิกา BOVET ถือเป็นของมีค่า รวมทั้งทำให้คำว่า “BOVET” เป็นคำเรียกนาฬิกาสำหรับชาวจีนตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
ในปี 1855 BOVET ได้รับรางวัลเหรียญทองประเภท “หรูหรา” ในงาน Universal Exhibition ที่จัดขึ้นในปารีส ซึ่งนาฬิกาเรือนนั้นคือนาฬิกาคู่ที่ได้รับคำสั่งซื้อจากองค์ฮ่องเต้แห่งประเทศจีน และทำให้ชื่อเสียงด้านการครองตลาดต่างประเทศแถบเอเชียของ BOVET มีความโดดเด่นมากที่สุด จนกระทั่งในปี 1889 Fritz Bovet ลูกชายคนโตของ Alphonse ได้ยื่นสิทธิบัตรสำหรับนาฬิกากลไกโครโนกราฟฟลายแบ็ค พร้อมกับการแสดงการจับเวลาวินาทีและนาที พร้อมแสดงการจับเวลาชั่วโมงที่มีการจับค่าได้สูงสุดถึง 24 ชั่วโมง
หลังจากนั้นในปี 1939 BOVET จึงได้ยื่นจดสิทธิบัตรสำหรับนาฬิกา Easel ที่สามารถแปลงนาฬิกาพกให้สามารถเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะได้อย่างสวยงาม พร้อมกับการจดสิทธิบัตรอีกรายการสำหรับนาฬิกากลไกโครโนกราฟโมโนสปลิท-เซคคั่น ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่นักสะสม จนต่อมาในปี 1957 หลานของ Henri-François Dubois-Bovet ตัดสินใจมอบชาโตว์เดอโมติเยร์สให้กับรัฐนูเชอเตล (Neuchâtel) และทำให้ชื่อเสียงของ BOVET เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในหมู่ช่างนาฬิกาในสวิตเซอร์แลนด์
จวบจนถึงปี 2001 สุดยอดศิลปะการผลิตนาฬิกา BOVET ได้รับการต่อยอดโดย Mr. Pascal Raffy นักสะสมผู้หลงใหลในศาสตร์และศิลป์แห่งโลกนาฬิการะดับสูง และถือเป็นเจ้าของแบรนด์นาฬิกา BOVET Fleurier SA แต่เพียงผู้เดียว จนต่อมาในปี 2006 Mr. Pascal Raffy จึงตัดสินใจเข้าเป็นเจ้าของชาโตว์เดอโมติเยร์ส ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์จากรัฐนูเชอเตล พร้อมทั้งก่อตั้งขึ้นเป็นโรงงานแห่งแรกอย่างเป็นทางการของ BOVET เพื่อสืบสานมรดกตกทอดของตระกูล Bovet
จนต่อมาในปี 2007 Mr. Pascal Raffy จึงได้รวมแบรนด์นาฬิกา DIMIER และ BOVET เข้าไว้ด้วยกัน รวมทั้งประกาศความร่วมมือกันเป็นครั้งแรกระหว่าง PININFARINA และ BOVET โดยนำเสนอเป็นนาฬิกาสปอร์ตสุดหรู ที่รวมเอาความหลงใหลในด้านการออกแบบ และความพิเศษทางด้านวิศวกรรมเข้าไว้ด้วยกัน รวมไปถึงเปิดตัวรูปแบบ Amadéo® ซึ่งทำให้นาฬิกา BOVET สามารถปรับเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะ นาฬิกาข้อมือ และนาฬิกาพก รวมทั้งนาฬิกาแบบสร้อยคอได้ในเรือนเดียวกัน พร้อมการจดสิทธิบัตรของระบบนี้เป็นครั้งแรก
กระทั่งในปี 2014 ที่ BOVET มีการเปิดตัวนาฬิการุ่น Virtuoso II พร้อมความโดดเด่นด้านความสวยงามผนวกกลไกอันซับซ้อน ที่ได้รับการพัฒนาและสร้างขึ้นเองทั้งหมดโดย BOVET และต่อมาใน 2015 กับการเปิดตัวนาฬิกาประวัติศาสตร์สองเรือนที่สร้างขึ้นโดยช่างฝีมือของ BOVET นั่นก็คือนาฬิการุ่น Braveheart® พร้อมการจดสิทธิบัตรถึง 6 ฉบับ และความสามารถในการสำรองลานที่ยาวนานได้ถึง 22 วัน พร้อมกันกับนาฬิการุ่น 19Thirty ที่ออกแบบเพื่อเป็นเกียรติแก่นาฬิกาพกที่สร้างขึ้นโดย BOVET ในช่วงปี 1930
ความเป็นเลิศของ BOVET เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปและยิ่งเป็นเกียรติเมื่องานการประกาศรางวัล Grand Prix d’Horlogerie de Genève (GPHG) มอบรางวัล Aiguille d’Or ให้กับนาฬิการุ่น Récital 22 ในปี 2018 จนถึงปี 2020 ที่ Ms. Audrey Raffy ลูกสาวของ Mr. Pascal Raffy เริ่มมาเข้าร่วมบริหารในแบรนด์นาฬิกา BOVET พร้อมรับรางวัล Mechanical Exception สำหรับนาฬิการุ่น Récital 26 Brainstrom®️ Chapter Two พร้อมกับรางวัล Ladies’ Watch สำหรับนาฬิการุ่น Miss Audrey อีกครั้งจากงานการประกวดรางวัล (GPHG)
