IMMORTAL MONSTER: อมตะแห่งอสูร
“มอนสเตอร์” เป็นนิยามของสิ่งมีชีวิตลี้ลับเหนือธรรมชาติที่มีความน่ากลัวและน่าเกรงขามอยู่ในที หากแต่ในวงการนาฬิกาแล้ว ความหมายของมอนสเตอร์กลับกลายเป็นตำนานบทหนึ่งของเรือนเวลายอดนิยมที่ถือกำเนิดและสืบทอดเชื้อสายกันอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานานกว่าสิบปีโดยมีเอกลักษณ์อันโดดเด่นบวกกับคุณสมบัติและคุณภาพล้นเหลือคุ้มค่าคุ้มราคาของนาฬิกาอสูรกายสายพันธุ์นี้เป็นเครื่องจรรโลงความแข็งแกร่งเหนือกาลเวลาตลอดมา
เปิดตำนานอสูรกาย
นาม “มอนสเตอร์” ที่ใช้เรียกขานนาฬิกายอดนิยมตระกูลนี้ มีที่มาจากคนรักนาฬิกาสองท่านในประเทศไทยซึ่งก็คือ คุณ Tommy แห่งเว็บไซต์นาฬิกาชื่อดังของไทย siamnaliga.com และคุณ Reto Castellazzi แห่ง Poor Man’s Watch Forum ซึ่งเป็นชาวสวิสที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ทั้งสองท่านต่างก็เป็นผู้หลงใหลในเครื่องบอกเวลาอย่างยิ่งยวดและมักจะนำนาฬิกาที่น่าสนใจมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเว็บไซต์อยู่เสมอๆ และในปี ค.ศ.2002 ก็เป็นปีที่ทั้งคู่ไปติดใจเข้ากับนาฬิกาดำน้ำในตระกูลไดเวอร์รุ่นหนึ่งของ SEIKO ที่มีหน้าปัดสีดำหรือสีส้มให้เลือกซึ่งเป็นรุ่นที่ออกจำหน่ายมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เข้า จึงนำมาพูดคุยกับเพื่อนๆ และตั้งชื่อเรียกขานนาฬิการุ่นนี้ว่า “มอนสเตอร์” ด้วยเหตุผลที่ว่านาฬิการุ่นนี้เป็นนาฬิกาดำน้ำที่มีขนาดใหญ่ มีลักษณะแข็งแรง บึกบึน ดูมีมัดกล้าม มีขอบตัวเรือนที่ใหญ่ หนา ดูหนักแน่น ดุดัน มีส่วนโค้งส่วนเว้าพร้อมเซาะร่องขนาดใหญ่ลบเหลี่ยมเรียบร้อย ทำให้มีรูปลักษณ์โดยรวมดุจดั่งอสูรแห่งท้องทะเลหรือ “ซี มอนสเตอร์” ซึ่งผู้คนทั่วโลกต่างก็เห็นตรงกันและไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ กับชื่อนี้ “มอนสเตอร์” จึงกลายเป็นชื่อสามัญของนาฬิการุ่นนี้ไปในที่สุด
ขอบตัวเรือนใหญ่ หนา หนักแน่น มีส่วนโค้งส่วนเว้าดูมีมัดกล้ามดุจดั่งอสูรกายอันเป็นที่มาแห่งคำเรียกว่า “มอนสเตอร์”
จากวันนั้น ชื่อเสียงของ มอนสเตอร์ ก็ขจรขจายออกไปทั่วทุกสารทิศ ผู้คนทั้งหลายต่างได้รู้จักกับมอนสเตอร์ในฐานะนาฬิกาดำน้ำคุณภาพคับแก้วที่มาพร้อมกับคุณลักษณะอันโดดเด่นเกินราคาค่าตัว ไม่ว่าจะเป็นในด้านหน้าตา วัสดุตัวเรือนและสายที่ทำจากสเตนเลสสตีลอย่างดีและได้รับการขัดแต่งอย่างประณีต และฟังก์ชั่นการใช้งานที่มาครบๆ ทั้งคุณสมบัติการกันน้ำได้ในระดับความลึก 200 เมตร ขอบตัวเรือนสตีลขนาดใหญ่สุดแกร่งพร้อมสเกลขีดกับตัวเลขและจุดเรืองแสงแบบหมุนทวนเข็มนาฬิกาทิศทางเดียวใช้งานถนัดมือ เม็ดมะยมขันเกลียว ณ ตำแหน่งราว 4 นาฬิกาเพื่อป้องกันการกระแทกหรือไปเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ยามใช้งานในน้ำ ฝาหลังขันเกลียวพร้อมลายนูนเป็นภาพคลื่นอันสวยงามตรงส่วนกลางบ่งบอกความเป็นนาฬิกาดำน้ำ กระจกหน้าปัด Hardlex Crystal กันรอยขีดข่วน หลักชั่วโมงขนาดใหญ่เคลือบสารเรืองแสงลูมิไบรท์ ลิขสิทธิ์เฉพาะของ SEIKO ที่ให้ความสว่างไสวในที่มืด เข็มสั้นหัวลูกศรกับเข็มยาวขนาดใหญ่และเข็มวินาทีปลายศรเคลือบลูมิไบรท์อ่านค่าได้ชัดเจนในทุกสภาวะ ไปจนถึงบานพับสายที่สามารถปรับขยายได้สำหรับสวมทับบนชุดดำน้ำ และตัวล็อคสายระบบดับเบิ้ลล็อคอันแน่นหนา ตลอดจนเครื่องขึ้นลานอัตโนมัติคุณภาพสูงขึ้นลานได้ทั้งสองทิศทาง ซึ่งคุณสมบัติทั้งหมดนี้สามารถทัดเทียมเทียบชั้นกับเหล่านาฬิกาดำน้ำชั้นดีจากสวิสที่มีค่าตัวสูงกว่าได้อย่างเต็มภาคภูมิ
Monster รุ่นมาตรฐาน มีหน้าปัดให้เลือก 2 แบบ คือ สีส้ม (รหัส SKX781K) หรือสีดำ (รหัส SKX779K) ออกจำหน่ายในตลาดโลกราวปี 2000 ในฐานะนาฬิกาดำน้ำรุ่นใหม่รุ่นหนึ่งในตระกูลไดเวอร์ ก่อนที่จะได้ชื่อว่า มอนสเตอร์ จากการเรียกขานของนักนิยมนาฬิกาในประเทศไทยเมื่อราวปี 2002
(ซ้าย) เครื่องขึ้นลานอัตโนมัติ 7S26 ทับทิม 21 เม็ด ทำงานด้วยความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง ขึ้นลานสองทิศทาง ที่ใช้ใน Monster รุ่นมาตรฐาน
(ขวา) ฝาหลังขันเกลียวพร้อมลายนูนภาพคลื่นของนาฬิกา Monster
(ซ้าย) หลักชั่วโมงขนาดใหญ่และเข็มเคลือบสารเรืองแสงลูมิไบรท์ให้ความสว่างไสวในที่มืด
(ขวา) บานพับสำหรับปรับขยายเพื่อให้สวมทับบนชุดดำน้ำได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ถือได้ว่า มอนสเตอร์ เป็นหนึ่งในผู้นำกระแสก็คือ ความนิยมในนาฬิกาขนาดใหญ่ เพราะจากความนิยมในนาฬิการุ่นนี้ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของตัวเรือนถึง 42 มิลลิเมตร ได้ทำให้นาฬิกาต่างๆ ในยุคนั้นซึ่งมักจะมีขนาดต่ำกว่า 40 มิลลิเมตรดูเล็กไปถนัดตา แทบทุกแบรนด์จึงต้องออกนาฬิกาตัวเรือนขนาดใหญ่กว่า 40 มิลลิเมตรมาขายกันจนกลายเป็นมาตรฐานของนาฬิกาในปัจจุบัน
สั่งสมความยิ่งใหญ่
จากความโด่งดังของชื่อเสียงที่ร่ำลือกันไปทั่ว เมื่อไซโกประเทศไทยได้นำเจ้ามอนสเตอร์เข้ามาจำหน่าย ก็ได้รับการต้อนรับจากชาวไทยอย่างอบอุ่นไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มผู้ชื่นชอบนาฬิกา เหล่าผู้นำเทรนด์อย่างบุคคลผู้มีชื่อเสียงในวงสังคม ดารา นักร้อง ตลอดจนบุคคลทั่วๆ ไป และมียอดจำหน่ายที่ดีอย่างต่อเนื่องทั้งในรุ่นมาตรฐานหน้าปัดสีดำและหน้าปัดสีส้ม ความนิยมนี้เองจึงเป็นที่มาของการผลิตมอนสเตอร์รุ่นพิเศษในแบบลิมิเต็ดเอดิชั่นขึ้นสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะในปี ค.ศ.2003 เรียกขานกันว่า “เยลโลว์มอนสเตอร์” โดยมากับหน้าปัดสีเหลืองสดใส และได้ตั้งบรรทัดฐานให้กับคุณสมบัติของมอนสเตอร์ลิมิเต็ดเอดิชั่นรุ่นต่อๆ มาด้วยการใช้กระจกหน้าปัดแซฟไฟร์คริสตัลพร้อมเลนส์ขยายหน้าต่างบอกวันกับวันที่และการเปลี่ยนเครื่องขึ้นลานอัตโนมัติจากรุ่นมาตรฐานที่ใช้เครื่อง 7s26 ทับทิม 21 เม็ดมาเป็น 7s36 ที่มีการเพิ่มโลเวอร์บริดจ์สำหรับเธิร์ดวีลและพิเนียนกับเพิ่มทับทิมอีก 2 เม็ดเข้าไป รวมเป็น 23 เม็ด เพื่อให้เครื่องทำงานได้เสถียรยิ่งขึ้น รับแรงเสียดทานได้ดีขึ้น และช่วยลดการสึกหรอได้มากขึ้น ไซโกผลิตเยลโลว์มอนสเตอร์ขึ้นมาในจำนวน 300 เรือนด้วยกัน และสร้างปรากฎการณ์การจำหน่ายที่ถูกจับจองจนหมดภายในเวลาเพียง 2 วันหลังจากเปิดตัว ทุกวันนี้ เยลโลว์มอนสเตอร์ กลายเป็นมอนสเตอร์รุ่นหายากที่นักสะสมต่างต้องการมีไว้ในครอบครองและมีมูลค่าที่สูงขึ้นอย่างน่าทึ่งถึงขนาดเคยมีการซื้อขายกันในหลักสี่หมื่นบาทมาแล้วซึ่งเพิ่มขึ้นจากค่าตัวหมื่นกว่าบาทอันเป็นราคาครั้งเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ.2003 ไปหลายเท่า ทั้งนี้ก็ด้วยจำนวนการผลิตที่น้อยมากและการมีฐานะเป็น มอนสเตอร์ ลิมิเต็ด เอดิชั่น รุ่นแรกที่ทำขึ้นสำหรับประเทศไทยนั่นเอง
Yellow Monster ลิมิเต็ดเอดิชั่นรุ่นแรกสำหรับประเทศไทยของตระกูลมอนสเตอร์ ผลิตจำนวนจำกัด 300 เรือน ออกจำหน่ายในปี 2003
ต่อมาในปี ค.ศ.2005 SEIKO ก็ได้ออกรุ่นพิเศษให้กับมอนสเตอร์อีกครั้งด้วย “บลูมอนสเตอร์” ซึ่งมากับหน้าปัดสีฟ้าและมีจุดเด่นอีกอย่างอยู่ที่การใช้สีแดงลงบนขีดสเกลจากสามเหลี่ยมในตำแหน่ง 12 นาฬิกาไปจนถึงตัวเลข 15 ส่วนขีดกับตัวเลขที่เหลือจะใช้เป็นสีน้ำเงิน ประจำการด้วยเครื่อง 7s36 เช่นเดียวกับเยลโลว์มอนสเตอร์ สำหรับบลูมอนสเตอร์นี้ได้ถูกผลิตขึ้นแบบสเปเชี่ยลเอดิชั่นที่ไม่ได้ระบุหมายเลขประจำเรือนแต่มีการผลิตออกมาทั้งหมด 1,800 เรือนด้วยกันโดยมีจำหน่ายในตลาดจนถึงปี ค.ศ.2006 จากรุ่นพิเศษสองสีสองเอดิชั่นที่ผ่านมานั้นเอง ก็ทำให้คนรักนาฬิกาต่างเก็งกันว่าจะต้องมีรุ่นพิเศษที่ใช้หน้าปัดสีอื่นๆ ตามออกมาอีก และทำให้เกิดความนิยมในการสะสมนาฬิกามอนสเตอร์รุ่นต่างๆ ขึ้นในหมู่นักสะสมนาฬิกาในประเทศไทย และก็เป็นไปตามที่เหล่านักสะสมคาดเอาไว้ ปี ค.ศ.2007 ทาง SEIKO ก็ได้ออก “เร้ดมอนสเตอร์” หน้าปัดสีแดงมาให้ได้เชยชมกันโดยเป็นการผลิตในแบบลิมิเต็ดเอดิชั่น 1,313 เรือน ใช้เครื่อง 7s36 โดยทางผู้ออกแบบนาฬิการุ่นนี้ได้นำแรงบันดาลใจจากสีประจำชาติของประเทศญี่ปุ่นมาใช้เป็นสีของหน้าปัด จุดพิเศษอีกอย่างของรุ่นนี้ก็คือ ขอบตัวเรือนที่ใช้สีแดงบนสเกลและตัวเลขจากตำแหน่ง 18 ไปจนถึง 59 และมีเลนส์ขยายเหนือช่องหน้าต่างบอกวันกับวันที่
(ซ้าย) Blue Monster ผลิตในจำนวน 1,800 เรือน โดยเป็นแบบสเปเชี่ยลเอดิชั่น จึงไม่มีข้อความ Limited Edition บนหน้าปัด ไม่ได้ระบุหมายเลขประจำเรือน และไม่มีเลนส์ขยายหน้าต่างบอกวันกับวันที่ ออกจำหน่ายในปี 2005
(ขวา) Red Monster ออกจำหน่ายในปี 2007 โดยกลับมาเรียกว่าลิมิเต็ดเอดิชั่นอีกครั้ง ผลิตจำนวน 1,313 เรือน
ให้หลังราวหนึ่งปี ในปี ค.ศ.2008 ก็ถึงคราวของรุ่นพิเศษสุดๆ อย่างเจ้าชายอสูร “ปริ้นซ์มอนสเตอร์” ออกมาสร้างความฮือฮาด้วยตัวเรือนสเตนเลสสตีลเคลือบสีพิ้งค์โกลด์สลับกับเม็ดมะยมสตีล ขอบตัวเรือนเคลือบดำ พร้อมสายสตีลสลับเคลือบสีพิ้งค์โกลด์ ซึ่งมีรูปลักษณ์แปลกตาออกไปจากมอนสเตอร์รุ่นอื่นๆ โดยมาในมาดนาฬิกาสปอร์ตหรู ทำงานด้วยเครื่องขึ้นลานอัตโนมัติ 7s35 เปลี่ยนบุคลิกให้เจ้าอสูรกลายเป็นเจ้าชายได้อย่างน่าประทับใจโดยผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดที่ 1,666 เรือน และหลังจากเจ้าชายอสูรแล้วก็ทิ้งระยะว่างเว้นการออกมอนสเตอร์รุ่นพิเศษไปเป็นปีโดยปล่อยให้มอนสเตอร์รุ่นมาตรฐานหน้าปัดดำและหน้าปัดส้มจำหน่ายในตลาดต่อไปก่อนจะสร้างความตื่นเต้นกันอีกครั้งในปี ค.ศ.2010 ด้วยมอนสเตอร์เซเว่นลิมิเต็ดเอดิชั่นหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กรีนมอนสเตอร์” ซึ่งเป็นอสูรกายลำดับที่ 7 มากับหน้าปัดสีเขียวสดใสในคอนเซ็ปต์รักษ์ธรรมชาติโดยสีเขียวของหน้าปัดนั้นถูกอ้างอิงมาจากสีของสาหร่ายใต้ทะเลลึก ความแตกต่างอีกอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในรุ่นนี้นอกจากเลนส์ขยายเหมือนกับรุ่นลิมิเต็ดอื่นๆ แล้วก็คือ ขอบตัวเรือนแบบปัดเงาที่มากับสเกลและตัวเลขสีเขียว ผลิตขึ้นในจำนวน 1,881 เรือนอันเป็นตัวเลขของปี ค.ศ. ที่บริษัทไซโกก่อตั้งขึ้น โดยเพียงไม่กี่ชั่วโมงภายในวันแรกที่เปิดจำหน่ายก็ถูกจับจองจนหมดและมีหลายคนที่พลาดโอกาสแม้จะตั้งใจมาซื้อในวันนั้นเพราะซื้อไม่ทันผู้คนจำนวนมากที่มาเข้าคิวรอตั้งแต่เช้าก่อนเปิดจำหน่าย จากนั้นราคาขายต่อก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
(ซ้าย) เจ้าชายอสูร Prince Monster ออกจำหน่ายในปี 2008 ตัวเรือนสตีลเคลือบสีพิ้งค์โกลด์ ขอบตัวเรือนเคลือบดำ เม็ดมะยมสตีล สายสตีลสลับเคลือบสีพิ้งค์โกลด์ ผลิตแบบลิมิเต็ดเอดิชั่นในจำนวน 1,666 เรือน ใช้เครื่องอัตโนมัติรหัส 7S35 และมีเข็มทิศอยู่ที่ขอบหน้าปัดด้านในซึ่งหมุนปรับตั้งด้วยเม็ดมะยมที่ตำแหน่ง 2 นาฬิกา
(ขวา) Monster 7 (Green Monster) อสูรกายลำดับที่ 7 ใช้ขอบตัวเรือนแบบปัดเงาซึ่งแตกต่างจากตัวอื่นๆ ก่อนหน้าที่เป็นแบบปัดลาย ผลิตแบบลิมิเต็ดเอดิชั่น 1,881 เรือน ออกจำหน่ายในปี 2010
แพ็คเกจของ Monster 7 มาพร้อมกับไฟฉาย สายยาง และกล่องดีไซน์เฉพาะ
ถัดมาอีกหนึ่งปี ในปี ค.ศ.2011 มอนสเตอร์ลิมิเต็ดเอดิชั่นรุ่นต่อมา “สโนว์มอนสเตอร์” ก็ออกมาสร้างความฮือฮาไปพร้อมกับความเย็นยะเยือกด้วยรูปโฉมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกล็ดหิมะและน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาวบนหมู่เกาะฮอกไกโด จึงมีหน้าปัดสีขาวพิสุทธิ์แฝงความละมุนละไมด้วยสีฟ้าครามบริเวณขอบหน้าปัดและสเกลกับตัวเลขบนขอบตัวเรือนเปรียบเสมือนโลกที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยท้องฟ้าสีคราม และยังเพิ่มความละเมียดด้วยรายละเอียดการขัดแต่งตัวเรือนและขอบตัวเรือนแบบที่เรียกว่า All Horning ซึ่งเป็นการขัดด้านที่ทำให้ได้เนื้อผิวคล้ายเกล็ดหิมะยามต้องแสงอาทิตย์ซึ่งแตกต่างจากการปัดลายแบบมอนสเตอร์รุ่นพี่ๆ อย่างชัดเจน ส่วนสายสตีลก็ถูกขัดแต่งแบบ All Horning เช่นกันโดยเมื่อผสานเข้ากับข้อต่อสายที่เป็นงานขัดเงาแบบมิเรอร์ฟินิชแล้วจะให้ความงดงามดุจดั่งเกล็ดหิมะผสานกับก้อนน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว มอนสเตอร์ลำดับที่ 8 นี้ถูกผลิตขึ้นในจำนวนจำกัด 2,555 เรือน และจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็วเหมือนเช่นเคย
Snow Monster ออกแบบรายละเอียดโดย Satoru Monjugawa ดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น ซึ่งนำแรงบันดาลใจมาจากบรรยากาศในฤดูหนาวบนหมู่เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ผลิตแบบลิมิเต็ดเอดิชั่นจำนวน 2,555 เรือน ออกจำหน่ายในปี 2011
ความนิยมไม่เคยจาง
นาฬิกาตระกูลมอนสเตอร์นี้ นอกจากจะเป็นที่นิยมของผู้คนจำนวนมากและเป็นของสะสมของนักสะสมนาฬิกาในประเทศไทยแล้ว ในต่างประเทศรวมถึงในญี่ปุ่นเองก็ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน โดยมีการออกเอดิชั่นพิเศษต่างๆ มากมาย ทั้งยังมีการนำเอามอนสเตอร์ไปโมดิฟายด์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำสีสันของหน้าปัดขึ้นมาใหม่ การทำสายรูปแบบต่างๆ หลากวัสดุหลายสีสันขึ้นมาใส่คู่กับนาฬิกา หรือการนำตัวเรือนและสายสตีลไปรมดำ เป็นต้น
(ซ้าย) Monster ยามใส่คู่กับสายยาง
(ขวา) อีกอารมณ์ของ Monster กับสายหนัง
Monster หน้าปัดสีส้มหรือสีดำแพ็คเกจพิเศษที่ออกจำหน่ายในปี 2010 ให้สายหนังจระเข้เย็บขอบด้วยด้ายไนล่อนมาอีกเส้นหนึ่งให้เจ้าของสามารถสลับเปลี่ยนกับสายสตีลได้ แพ็คเกจนี้ใช้ชื่อในการโปรโมทว่า Monster Classic (หน้าปัดส้มจะให้สายหนังจระเข้สีเขียวเย็บขอบด้วยด้ายไนลอนสีส้ม ส่วนหน้าปัดดำจะให้เป็นสายหนังจระเข้สีดำ)
ณ วันนี้ นาฬิกามอนสเตอร์เจเนอเรชั่นแรกก็ได้ทำการผลิตอย่างต่อเนื่องมาอย่างยาวนานเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วซึ่งถือได้ว่าเป็นนาฬิกาที่อยู่ในสายการผลิตอย่างยาวนานที่สุดรุ่นหนึ่ง โดยยังคงความเป็นนาฬิกาสไตล์สปอร์ตที่เพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติ คุณสมบัติ และมีความคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด ทั้งยังคงรั้งตำแหน่งนาฬิกาเรือนแรกๆ ในลิสต์ที่ผู้เริ่มชื่นชอบหรือเริ่มสะสมนาฬิกาจะต้องมีไว้ในครอบครองอย่างเหนียวแน่นดังที่เคยเป็นได้ตลอดมา จากความยาวนานในการผลิตนี้หลายคนคาดว่าอีกไม่นานทางไซโกคงจะหยุดการผลิตมอนสเตอร์เจเนอเรชั่นนี้ลงในที่สุดซึ่งก็คงจะต้องเป็นเช่นนั้นในอีกไม่ช้า แต่ก่อนจะถึงวันนั้น SEIKO ก็ได้เผยโฉมมอนสเตอร์ลิมิเต็ดเอดิชั่นลำดับที่ 9 ในชื่อ แซมบ้ามอนสเตอร์ (Zamba Monster) ออกมาให้เห็นโดยเปิดให้จองกันในวันที่ 1 กันยายน 2012 ด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกตากว่าที่เคยซึ่งมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง
Zamba Monster มากับตัวเรือนสตีลรมดำ หน้าปัดแต่งแต้มด้วยสีสันสดใสหลากสี และเปลี่ยนเครื่องอัตโนมัติเป็นรหัส 4R36 ผลิตจำนวน 2,112 เรือน ออกจำหน่ายในปี 2012
ธีมหลักของแซมบ้ามอนสเตอร์จะมาในโทนดำ-แดงที่ตกแต่งด้วยสีสันสดใสต่างๆ อันมีที่มาแห่งแรงบันดาลใจจากสีสันของขบวนพาเหรดคาร์นิวัลแห่งบราซิลซึ่งเป็นที่มาของชื่อแซมบ้ามอนสเตอร์นั่นเอง เริ่มจากตัวเรือนและขอบตัวเรือนสเตนเลสสตีลรมดำ หน้าปัดสีดำ แต่แต่งแต้มด้วยสีสันสดใส 3 สี แดง เขียว ม่วง สลับกันบนหลักชั่วโมง และตัวเลขแสดงนาทีสีเหลือง เข็มเป็นสีแดง ส่วนหลักและสเกลนาทีจาก 0 – 15 บนขอบตัวเรือนรมดำนั้นจะใช้เป็นสีแดง โดยเรือนที่เผยให้เห็นก่อนรับจองซึ่งเป็นขณะที่เขียนบทความนี้ จะมากับสายหนังสีแดงสดใสพร้อมบานพับสตีลรมดำ ที่สังเกตเห็นอีกอย่างก็คือ บนหน้าปัดของแซมบ้ามอนสเตอร์ จะไม่มีข้อความ Diver’s 200m เหมือนเคย เนื่องจากเหตุผลที่ว่านาฬิการุ่นนี้มาพร้อมสายหนัง แต่ตัวเรือนยังคงมีคุณสมบัติการกันน้ำที่ 200 เมตรเหมือนเคยครับ นาฬิการุ่นนี้กำหนดผลิตขึ้นในจำนวน 2,112 เรือน
ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ แซมบ้ามอนสเตอร์ จะไม่ได้ใช้เครื่องขึ้นลานอัตโนมัติรหัส 7S36 เหมือนที่เคยเป็นมา แต่จะใช้เครื่องขึ้นลานอัตโนมัติรหัส 4R36 ซึ่งสามารถขึ้นลานเพิ่มด้วยมือได้และแฮ็คเข็มวินาทีได้แทน ส่วนแซมบ้ามอนสเตอร์ มอนสเตอร์ลำดับที่ 9 รุ่นนี้จะเป็นลิมิเต็ดเอดิชั่นรุ่นสุดท้ายสำหรับมอนสเตอร์เจเนอเรชั่นแรกหรือไม่นั้น ณ วันนี้ยังไม่มีการยืนยันแต่อย่างใดครับ
By: Viracharn T.