iamwatch

Twitter

By: Dr. Pramote Rienjaroensuk 

จากบันทึกรายนามลูกค้าในสมุดการสั่งซื้อของ BREGUET ที่จะปรากฏรายละเอียดหลักฐานวันที่ของผู้สั่งผลิต และราคาของนาฬิกาแต่ละเรือน รวมไปถึงรายนามลูกค้าชั้นสูง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพระนาง Marie Antoinette ผู้ชื่นชอบนาฬิกาของ BREGUET และยังแนะนำ Abraham-Louis Breguet ให้แก่เหล่าราชวงศ์และผองเพื่อนอีกด้วย แต่ทว่านาฬิกา BREGUET No. 160 กลับไม่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้สั่งผลิตในบันทึกนั้น รู้กันแต่เพียงในปี 1783 มีคำสั่งจากทหารรับใช้ส่วนพระองค์ไปยัง Abraham-Louis Breguet เพื่อผลิตนาฬิกาเรือนพิเศษสำหรับองค์ราชินีเท่านั้น

Abraham-Louis Breguet

และถึงแม้ตามตำนานได้กล่าวว่าองค์ราชินีเป็นผู้สั่งผลิต แต่ข้อมูลส่วนใหญ่กลับมีความเห็นตรงกัน และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของนาฬิกาเรือนลึกลับนี้ ที่น่าจะเป็นคำสั่งผลิตจาก Axel Von Freson ขุนนางตระกูลสูงศักดิ์ชาวสวีเดน ผู้แรกพบกับพระนาง Marie Antoinette ในงานเลี้ยงค่ำคืนหนึ่ง และได้กลายเป็นเพื่อนสนิท จนกลายเป็นคู่รักลับๆ ในเวลาต่อมา โดย Axel Von Freson ได้เผยความในใจในจดหมายฉบับหนึ่งที่ส่งถึงพี่สาวเพื่อปฏิเสธที่จะมีคู่ครองว่า “I have decided never to marry. It would be unnatural... I cannot belong to the one person I truly want... So I prefer to belong to nobody.”

Axel Von Freson

ซึ่งถึงแม้จะไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้อย่าแน่ชัดว่าทั้งสองเป็นคู่รักกัน แต่ตามหลักฐานจากการถอดรหัส จดหมายรหัสที่ทั้งสองได้ส่งถึงกันนั้น ทำให้เชื่อได้ว่าขุนนางชาวสวีเดนผู้นี้ อาจจะเป็นผู้ที่ตั้งใจจะมอบนาฬิกา ซึ่งเป็นของขวัญอันล้ำค่าให้กับพระนาง และความสัมพันธ์ดังกล่าวก็ยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่นำไปสู่ความเสื่อมเสียทางประวัติศาสตร์แห่งราชวงศ์ฝรั่งเศส รวมทั้งเป็นเหตุให้สังคมยิ่งเกิดการต่อต้าน จากประเด็นการเสียพระเกียรติขององค์ราชินีมากขึ้นไปอีก

Louis Charles

เมื่อพระราชินีได้ให้กำเนิดรัชทายาทองค์แรกเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 1781 พระนามว่า Louis Joseph และเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 1785 ก็ได้ให้กำเนิดพระโอรสองค์ที่สองพระนามว่า Louis Charles ซึ่งในขณะนั้น พระนาง Marie Antoinette ก็ทรงเป็นผู้มีอิทธิพลในการแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรี โดยในหลายครั้งก็ไม่มีเหตุอันควร อย่างเช่นในกรณีการทรงถอดถอนพระคาร์ดินัลในคดีสร้อยพระศอ จากการที่ช่างทำสร้อยคอเพชรเรียกเก็บเงินจากองค์ราชินีเป็นจำนวนมาก แต่กลับเป็นว่าผู้ว่าว่าจ้างนั้นคือพระคาร์ดินัล ซึ่งแอบอ้างชื่อขององค์ราชินี ซึ่งเรื่องนี้ทำให้พระองค์เสื่อมเสียพระเกียรติเป็นอย่างมาก และเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยของพระองค์ รวมไปถึงการเป็นต้นเหตุของการต่อต้านรัฐสภาของพระเจ้า Louis ที่ 16

จนกระทั่งในปี 1789 เมื่อชาวเมืองฝรั่งเศสเกิดความลำบากทุกข์ยากอดอยากล้มตาย จนขนมปังหายากยิ่งกว่าทองคำ ประชาชนจำนวนมากจึงโกรธเคืองที่ราชวงศ์ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย และเกิดการประท้วงเดินเท้าเพื่อไปหาคนขายขนมปัง ซึ่งหมายถึงพระเจ้า Louis ที่ 16 และคนทำขนมปังซึ่งหมายถึงองค์ราชินี แต่กลับได้ยินคำพูดจากพระราชินีว่า “ก็ให้พวกเขากินเค้กแทนสิ” ซึ่งสร้างความไม่พอใจและเกิดความเกลียดชังระบบศักดินามากขึ้นไปอีก ซึ่งแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่าเป็นคำพูดที่มาจากพระนาง Marie Antoinette ซึ่งอาจถูกใส่ความเพื่อการยุยงและปลุกปั่น ให้ประชาชนเกิดกระแสความไม่พอใจต่อราชวงศ์ในเวลานั้น จนกลายเป็นยุคปฏิวัติฝรั่งเศสในเวลาต่อมา

เหตุการณ์เลวร้ายของราชวงศ์ได้ดำเนินมาถึงวันที่ 21 มกราคม 1793 และพระเจ้า Louis ที่ 16 ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยกิโยติน ส่วนพระนาง Marie Antoinette ได้ถูกตัดสินว่าเป็นกบฏต่อฝรั่งเศสโดยติดต่อกับออสเตรียอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่เสด็จมาประทับฝรั่งเศสในช่วงแรกๆ อีกทั้งยังเป็นเหตุให้พระเจ้า Louis ที่ 16  ตัดสินพระทัยผิดพลาดหลายครั้ง ซึ่งหลายข้อกล่าวหานั้นก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัดเพียงพอ แต่องค์ราชินีก็ไม่มีอำนาจที่จะคัดค้านได้อีก จึงถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยกิโยตินเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1793 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ Abraham-Louis Breguet ได้ลี้ภัยกลับไปยังบ้านเกิดในสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมนำนาฬิกา BREGUET No. 160 ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์กลับไปด้วย แม้เจ้าของตัวจริงได้จากโลกนี้ไปแล้ว

กรุณาติดตามตอนต่อไปได้ในวันอาทิตย์หน้า