What’s Watch’s Name?

 

นอกจากนี้ยังอาจมีความสงสัยอีกด้วยว่า ทำไมนาฬิกาบางแบรนด์ถึงกล้านำชื่อตนเองมาใช้ หรือทำไมบางแบรนด์ถึงมีสัญลักษณ์เป็นมงกุฎ ทำไมบางแบรนด์ถึงมีสัญลักษณ์เป็นเครื่องหมายกางเขน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าตัวนาฬิกาเลยครับ

 

ประเดิมกันด้วยแบรนด์เจ้าตลาด ที่ยืดหยัดอยู่คู่วงการเครื่องบอกเวลามาอย่างยาวนาน นาฬิกาสามัญประจำบ้านที่นักเล่นนาฬิกาทุกท่านต้องมี (หรือเคยมี) ใครจะรู้หล่ะครับว่าคำว่า Rolex นั้นเกิดขึ้นโดยบังเอิญ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในปี 1905 โดย Hans Wilsdorf ซึ่งเป็นชาวเยอรมันแต่มาได้สัญชาติอังกฤษจากการสมรส  ในสมัยนั้นกระแสชาตินิยมเป็นตัวกำหนดหลักคิดหลายๆ อย่าง แต่สำหรับชายผู้มองการณ์ไกลคนนี้ ก่อนที่ใครจะรู้จักคำว่า "Multinational" เขาได้จดทะเบียนการค้าเครื่องหมาย Rolex ในปี 1908 ไว้แล้ว ซึ่งเขาคิดว่าคำนี้เป็นคำที่ออกเสียงง่ายในหลายภาษาทั่วโลก และสั้นกระชับเหมาะสมที่จะประทับลงบนหน้าปัดนาฬิกา กล่าวกันว่าเขาคิดขึ้นได้ในขณะโดยสารรถบัสในลอนดอน โดยโรงงานของ Rolex ตั้งอยู่ในลอนดอนจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และเมื่อภาษีนำเข้าพุ่งสูงขึ้นจนทำให้การนำเข้าอะไหล่จากสวิสมีต้นทุนสูงเกินไป Rolex จึงต้องไปตั้งฐานการผลิตในเมกกะของโลกนาฬิกา ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์อย่างที่เรารู้จักกันดีในขณะนี้

 

 

Hans Wilsdorf Founder Of Rolex

ฮันส์ วิลส์ดอร์ฟ

 

geneva 0001 840x770

Montres Rolex S.A. ได้รับการจดทะเบียนที่กรุงเจนีวาในปี 1920

 

ส่วนแบรนด์ยอดนิยมในตลาดก็คือ Patek Philippe ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1839 ในกรุงเจนีวา ซึ่งการก่อตั้งบริษัทนี้เป็นการร่วมมือกันของ Antoine Norbert de Patek ชาวโปแลนด์ และช่างทำนาฬิกา Francois Czapek ชาวฝรั่งเศส โดยมีการผลิตนาฬิกาคุณภาพสูงมากมายออกมาในแต่ละปีโดยประมาณถึงกว่า 200 เรือน โดยใช้ชื่อว่า Patek, Czapek & Cie. นานประมาณ 6 ปี จนกระทั่ง Francois Czapek ได้ขอแยกตัวไป จนในปี 1844 ที่ Patek ได้พบกับช่างฝีมืดสุดอัจฉริยะ ที่มีความเก่งและทักษะที่ยอดเยี่ยมอยู่ในตัว ซึ่งก็คือ Jean-Adrien Philippe ซึ่งเขาก็ได้ผลิตและคิดค้นระบบการไขลาน และตั้งเวลาของนาฬิกาด้วยเม็ดมะยมแทนกุญแจสู่ตลาด แถมยังได้ผลิตนาฬิกาถวายให้กับพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งประเทศอังกฤษอีกด้วย โดยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ได้ใช้ชื่อบริษัทใหม่ว่า Patek Philippe มาตลอดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้

 

Antoine Norbert de Patek

Antoine Norbert de Patek

 

François Czapek

Francois Czapek

 

jean adrien philippe 01

Jean-Adrien Philipp

 

แบรนด์ต่อมาคือ Vacheron Constatin บริษัทผลิตเครื่องบอกเวลาอันเก่าแก่ มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปนานถึง 264 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัทก็คือช่างผู้เชี่ยวชาญชื่อ Jean-Marc Vacheron และต่อมาคือ Jacques Barthelemy Vacheron ลูกชายของเขา ที่ได้ร่วมมือกับเพื่อนอีกคนคือ Francis Constantin ในการหาลู่ทางเปิดตลาดนาฬิกาออกสู่ต่างประเทศ ต่อมาในปี 1839 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นเมื่อ Georges Leschot เข้าร่วมกับบริษัท ซึ่งทำให้ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี เท่านั้น บริษัทก็สามารถผลิตชิ้นส่วนของนาฬิกาด้วยเครื่องจักรได้ ซึ่งนับว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการอุตสาหกรรมครั้งสำคัญในยุคนั้น โดยบในปี 1880 Vacheron Constantin ได้เริ่มใช้สัญลักษณ์กางเขนมอลตา (Maltese Cross) ที่เราคุ้นตากันดีอยู่ เป็นสัญลักษณ์สำคัญของแบรนด์

 

180px Jean Marc Vacheron

Jean-Marc Vacheron

 

Francois Constantin Clockmaker

Francis Constantin

 

Vacheron Constantin 7

 

สุดท้ายคือ Maximilian Büsser & Friends แบรนด์นาฬิกาอินดี้สุดไฮเอ็น ที่เหมาะสำหรับเศรษฐีผู้เบื่อหน่ายความซ้ำซากจำเจ เริ่มต้นขึ้นในปี 2005 โดยในช่วงเริ่มบริษัทชื่อ MB&F เคยถูกดูแคลนจากคนรอบข้างของ Max มาแล้วว่าดูธรรมดาเกินไป ไม่เหมาะกับความสุดโต่งของแบรนด์เลย แต่ Max กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะ MB&F เป็นสิ่งที่เหนือกว่านาฬิกาที่สามารถบอกเวลาได้ และลำพังเค้าคนเดียวคงไม่สามารถรังสรรค์เครื่องบอกเวลาอันวิเศษเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน แต่ต้องอาศัยทีมงานที่ต้องเข้าใจและมีอุดมการณ์เดียวกัน ร่วมช่วยกันสร้าง MB&F ให้ดำเนินการต่างๆ ไปได้อย่างที่ตั้งใจ ฉะนั้นการให้เครดิตผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหลายที่อยู่เคียงข้างเค้านั้น เป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่งเพราะเราทุกคนควรให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกัน ตามแนวคิดของ Max

 

max edited

Maximilian Büsser

 

23maxresdefault

 

ในสังคมที่การตลาดเป็นใหญ่อย่างทุกวันนี้ สินค้าแทบทุกแบรนด์พยายามคิดค้นชื่อเรียกและโลโก้ให้เป็นที่จดจำได้ง่าย แต่แฝงไปด้วยความหมายที่ทรงพลังและชัดเจนให้กับแบรนด์ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไร แบรนด์จะเล็กหรือใหญ่ จะใหม่หรือเก่าก็ตาม แต่สิ่งที่ดูเหมือนง่ายนั้นย่อมไม่ง่ายเสมอไป เพราะอย่าลืมว่า ชื่อและโลโก้คือนามธรรมไม่มีเครื่องบ่งชี้ใดๆที่ จะสามารถนำมาตัดสินได้ว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือจะทำอย่างไรให้ ลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์ได้ เพราะถ้าเกิดความเชื่อ มูลค่าของแบรนด์ก็จะตามมาเองในท้ายที่สุด และผมมั่นใจว่าถ้าของดีจริง จะชื่ออะไรหรือใช้โลโก้แบบไหน ยังไงก็ต้องขายดีอยู่แล้วแน่นอนครับ