44th HONG KONG Watch & Clock Fair with 13th Salon de TIME
งาน HONG KONG Watch & Clock Fair ครั้งที่ 44 และงาน Salon de TIME ครั้งที่ 13 ซึ่งจัดโดยสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) สมาคมผู้ผลิตนาฬิกาฮ่องกง และสหพันธ์อุตสาหกรรมนาฬิกาฮ่องกง ปิดฉากลงอย่างสวยงามในปีนี้ พร้อมแพลทฟอร์มการจับคู่ทางธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอของ Click2Match ที่ช่วยให้ผู้แสดงงานและผู้ที่สนใจทั่วโลก สามารถหารือทางธุรกิจได้อย่างอิสระ จากในช่วงเวลา 5 วันที่ของการจัดแสดง ที่ดึงดูดผู้ที่สนใจจาก 95 ประเทศรวมกว่า 16,000 ราย โดยเป็นผู้เข้าเยี่ยมชมงานส่วนใหญ่ที่มาจากจีน

ไต้หวัน อินเดีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และประเทศในกลุ่มอาเซียนทั้ง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ที่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของฮ่องกง ในฐานะศูนย์กลางการขนส่งและจำหน่ายนาฬิการะดับโลก ในขณะที่งาน Salon de TIME เป็นการเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมฟรีเป็นปีที่สองติดต่อกัน ร่วมกันกับงาน CENTRESTAGE ซึ่งจัดขึ้นในเวลาเดียวกัน เพื่อร่วมกันดึงดูดผู้เข้าเยี่ยมชมงานมากกว่า 19,000 คน เพื่อเลือกชมผลงานชิ้นพิเศษ โดยมีทั้งแบรนด์นาฬิกาและแบรนด์แฟชั่นที่เข้าร่วมกว่า 400 แบรนด์ภายในงานครั้งนี้

Ms. Sophia Chong รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารของ HKTDC กล่าวว่า “งาน HONG KONG Watch & Clock Fair และ Salon de TIME ถือเป็นงานสำคัญประจำปีของอุตสาหกรรมนาฬิกา ที่ในปีนี้มีผู้เข้าร่วมจัดแสดงมากกว่า 650 รายจาก 15 ประเทศและภูมิภาค พร้อมทั้งผู้ประกอบการในพาวิลเลี่ยนจากกว่างโจว และพาวิลเลี่ยนจากไต้หวัน รวมทั้งพาวิลเลี่ยนจากสวิส (Swiss Independent Watchmakers Pavilion - SIWP) และพาวิลเลียนจากฝรั่งเศสโดย FRANCÉCLAT นอกจากนี้ยังเป็นการกลับมาของพาวิลเลียนจากเยอรมนี ญี่ปุ่น”

“เลบานอน และเนเธอร์แลนด์ ในขณะที่จำนวนแบรนด์นาฬิกาที่งาน Salon de TIME ก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งหลังจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ผู้จัดแสดงนาฬิกาหลายรายใช้เวทีนี้ในการเปิดตัว ผลิตภัณฑ์อันเป็นนวัตกรรมที่แสดงถึงงานฝีมืออันประณีต ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสู่ตลาดต่างประเทศและตลาดจีน โดยเป็นการตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของฮ่องกง ในฐานะศูนย์กลางการค้าและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก” โดยผลสำรวจต่างชี้ให้เห็นว่าตลาดต่างๆ เช่น ตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออก ต่างก็มีมุมมองในเชิงบวกระดับที่ดี

ในขณะที่ SAAT VE SAAT ซึ่งมีจุดจำหน่ายมากกว่า 160 แห่งในตุรกี และได้เข้าร่วมงานจัดแสดงนาฬิกาทั้งสองงานอีกครั้งในปีนี้ พร้อมคาดการณ์ว่ามูลค่าการสั่งซื้อต่อปีจะสูงได้ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน SU & CO TRADING จากเมียนมา ก็มีการสั่งซื้อนาฬิกาในมูลค่ากว่า 600,000 ดอลลาร์สหรัฐจากงาน พร้อมคัดเลือกนาฬิกาแบรนด์ใหม่สองแบรนด์เพื่อเปิดตัวสู่ตลาดเมียนมา พร้อมการลงนามข้อตกลงการเป็นตัวแทนจำหน่าย แต่เพียงผู้เดียวกับแบรนด์ภายใต้ SIWP นั่นก็คือ MATHEY TISSOT จากสวิตเซอร์แลนด์\

ส่วน DAYTON Industrial ผู้ผลิตสมาร์ทว็อชจากฮ่องกง มีการเปิดตัวนาฬิกาอัจฉริยะ Watch2Care TCM รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมระบบวิเคราะห์ชีพจรแบบดิจิทัล พร้อมการรายงานผลการแพทย์แผนจีน (TCM) เพื่อการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และตั้งเป้าที่จะบรรลุเป้าหมายยอดขาย 1.5 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง พร้อมกันนี้ยังมีแบรนด์นาฬิกา Lilienthal Berlin จากเยอรมนี ที่มีการเปิดตัวนาฬิกาข้อมือเรือนแรก ของโลกที่ตัวเรือนผลิตจากกากกาแฟรีไซเคิล ณ Salon de TIME และในปีนี้ก็มีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่อีกครั้ง กับนาฬิกาที่มีหน้าปัด

ที่ผลิตจากใบชารีไซเคิล พร้อมการตัวแทนจำหน่ายที่มีศักยภาพ จากบังกลาเทศและอิสราเอล และกำลังอยู่ระหว่างการหารือกับตัวแทนจำหน่ายจากอิตาลี ญี่ปุ่น คาซัคสถาน จีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ในขณะที่ในงาน Salon de TIME ก็ยังมีการจัดแสดงนาฬิกาโดย SUN International Concepts พร้อมการนำเสนอนาฬิกาอีก 6 แบรนด์จากจีน รวมถึงผลงานชิ้นเอกจากช่างนาฬิกาแนวอิสระอีก 4 ราย ได้แก่ MAXUSHU, TAN ZEHUA, QIAN GUOBIAO และ GONG XUN DAVID SUN

พร้อมยอดการสั่งซื้อซึ่งเพิ่มขึ้นระดับ 10% จากปีที่แล้ว พร้อมกันนี้ในโซนใหม่ MICROBRANDS ก็มีการนำเสนอนาฬิกาแบรนด์เฉพาะกลุ่ม ที่ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในราคาที่จับต้องได้และมีสไตล์โดดเด่น โดยได้รับความสนใจเป็นอย่างสูงจากทั้งตลาดในแคนาดา ไต้หวัน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมทั้งยังดึงดูดความสนใจให้กับผู้ที่ชื่นชอบ ในนาฬิกาจำนวนมากที่เข้าร่วมงานอีกด้วย โดยผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องของนาฬิกา จะได้เปิดโลกทัศน์อย่างแท้จริง พร้อมการชื่นชมงานฝีมืออันประณีต ของแบรนด์นาฬิกาคุณภาพสูง

พร้อมการได้พบปะพูดคุยกับช่างนาฬิกาแนวอิสระจำนวนมากโดยตรง โดยความหลากหลายของสไตล์นาฬิกาที่มีให้เลือกในงาน ประกอบกับความคุ้มค่าของนาฬิกาแต่ละแบรนด์ ทำให้ผู้คนจำนวนมากสามารถตัดสินใจเลือกซื้อนาฬิกาได้อย่างไม่ยากเย็น กับภาพรวมแนวโน้มที่ดีของตลาดไปจนถึงในอีกสองปีข้างหน้าจะได้แก่ ประเทศทางตะวันออกกลาง ไต้หวัน เกาหลี ละตินอเมริกา ออสเตรเลีย และกลุ่มประเทศอาเซียนหลายประเทศ โดยสมาร์ทว็อชจะถือเป็นตลาด ที่จะมีศักยภาพในการเติบโตได้เร็วเป็นอันดับสูงสุด



