Special Project One, Part II

พร้อมความคิดที่เฉียบแหลม และแม้กระทั่งภาพร่างของสเก็ตบอร์ดและมีดโกน ที่นั่นเปรียบเสมือนขุมทรัพย์แห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ Max เอื้อมมือลงไปในตะกร้าใบนี้ และหยิบโปรเจ็คท์หนึ่งขึ้นมา โดยเป็นโปรเจ็คท์ที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณ ของแนวคิดสุดพิเศษเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี กับโปรเจ็คท์ที่ถูกตั้งชื่อเรียกอย่างเรียบง่ายว่า Special Project One หรือ SP One อันเป็นผลงานที่ถูกเลือกให้ถ่ายทอดแนวคิดพิเศษดังกล่าวนี้ ด้วยความไม่มีอะไรคลาสสิค ในบรรดาสิ่งที่เรียกว่าความคลาสสิค

 

Screenshot 2568 10 29 at 23.29.37

 

"เราถามตัวเองว่า ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด กับนาฬิกาที่คลาสสิคและดูหรูหราจะเป็นอย่างไร?" Max กล่าวในสิ่งที่สุ่มเสี่ยงพอสมควร คล้ายกับการเปิดตัวนาฬิกาคอลเลคชั่น Legacy Machine รุ่นแรกของแบรนด์ หรือแม้กระทั่ง M.A.D.1 รวมไปถึงโปรเจ็คท์อื่นๆ ของ MB&F ไม่มีความคาดหวังจากตลาด เลยแม้แต่น้อยแต่เต็มไปด้วยความเสี่ยง 100% ซึ่งในฐานะผู้สร้างสรรค์ จากความภูมิใจที่เป็นแรงผลักดัน ที่ไม่ได้เกิดจากการเลือกเดินบนทางลัด แต่เกิดจากความเสี่ยงและอาจเผชิญกับความล้มเหลว"

 

MBandF LMPerpetual Stainless Steel Black Lres

 

จากแนวคิดที่สะท้อนให้เห็นจากภาพสเก็ตช์แรกของนาฬิการุ่น SP One ที่ย้อนกลับไปในปี 2018 ซึ่งเป็นการพิสูจน์ถึงปรัชญาดังกล่าว ที่เหมือนกับโปรเจ็คท์อื่นๆ ของ MB&F ที่เริ่มต้นจากภาพสเก็ตช์ และบางครั้งอาจจะวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว หรืออาจจะ "ไม่ดี" ตามที่ Max กล่าวไว้ แต่แก่นแท้ของการออกแบบ และเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโปรเจ็คท์นั้น ได้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจน จากสามวงกลมที่ดูคล้ายใบหน้ายิ้ม ได้สะท้อนถึงการเดินทางที่ทั้งสนุกสนานและซับซ้อน

 

Screenshot 2568 10 29 at 23.40.47

 

กับไอเดียนี้ที่เกิดจากสามส่วนประกอบหลัก ได้แก่ บาร์เรล, บาลานซ์วีล และหน้าปัด  ที่ถูกแขวนอยู่ในตัวเรือน ซึ่งลอยอยู่บนข้อมือ ซึ่งอย่างไรก็ดี ภาพสเก็ตช์ในช่วงแรกนั้นมุ่งเน้นไปที่ การออกแบบนาฬิกาที่สะท้อนความหรูหรา แทนที่จะดึงดูดความสนใจด้วยการตกแต่งที่ฉูดฉาด นาฬิกาจึงต้องการความสง่างาม ที่แฝงไปด้วยความคลาสสิค เพื่อให้แตกต่างจากความกล้าหาญ และความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ MB&F ในขณะเดียวกันก็ต้องคงไว้ซึ่งรากฐานของแบรนด์ ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลที่ยากยิ่ง

 

Screenshot 2568 10 29 at 23.53.54

 

ดังนั้นภาพสเก็ตช์แรกนี้จึงได้รับการปรับปรุง และพัฒนาเพิ่มเติมด้วยความช่วยเหลือจาก Eric Giroud นักออกแบบนาฬิกาชื่อดัง และเพื่อนที่รู้จักรวมทั้งมีความสัมพันธ์อันยาวนานกับ MB&F หลังจากผ่านการปรับแก้หลายครั้งแล้ว แนวคิดนี้จึงเริ่มลงตัว และถึงเวลาแล้วที่วิศวกรจะเข้ามามีบทบาท โดยเริ่มจากการร่างและวางแผนโปรเจ็คท์ทั้งหมด ด้วยความใส่ใจและความพยายามอย่างหนัก เพื่อให้เกิดภาพของสิ่งที่ลอยอยู่ในวงกลม ที่ในตอนแรกมีชื่อเรียกว่า "Three Circles" จากชุดชิ้นส่วนกลไก

 

Screenshot 2568 10 29 at 23.29.28

 

ของนาฬิการุ่น SP One ที่ได้ถูกออกแบบโดยนำเสนอสามองค์ประกอบหลัก ของนาฬิกากลไกทั้ง บาร์เรล, บาลานซ์วีล และหน้าปัด ที่แต่ละส่วนจะไม่ได้แค่ดูสวยงามเท่านั้น แต่จะถูกออกแบบให้มีความรู้สึก เหมือนกับว่ากำลังลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งต้องขอบคุณกระจกแซฟไฟร์ทั้งด้านหน้า และด้านหลังที่ทำให้ส่วนประกอบเหล่านี้ ดูเหมือนท้าทายแรงโน้มถ่วง ซึ่งอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ช่วยเสริมให้เอฟเฟ็คท์การลอยตัวนี้ ดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้น ก็คือสถาปัตยกรรมของชุดกลไกที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน

 

Screenshot 2568 10 29 at 23.32.31

 

เพี่อเพิ่มความโดดเด่นทางสายตาด้วยการยึดหลัก "น้อยแต่มาก" โดยมีบริจด์ที่แทบจะไร้ร่องรอย หรือเกือบมองไม่เห็นเลยทีเดียว รวมทั้งส่วนประกอบส่วนใหญ่ ก็ได้รับการซ่อนไว้ใต้สามองค์ประกอบหลัก เพื่อให้ความงามของแต่ละส่วน ได้รับการนำเสนออย่างเต็มที่ ซึ่งยิ่งมีบริจด์ สกรูว์ และเฟืองน้อยเท่าไรก็จะยิ่งดี ดังนั้นการมองหาสกรูว์จากทางด้านหน้า จึงแทบจะเหมือนกับการตามหาหัวเข็มในกองฟาง ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าอัศจรรย์ให้กับเอฟเฟ็คท์การลอยตัวทั้งหมด ที่มองเห็นได้ในนาฬิกาเรือนนี้

 

กรุณาติดตามตอนต่อไปได้ในบทความครั้งหน้า