Freak [X Gold Enamel], Part I
ในวงการนาฬิกา ความก้าวหน้าด้านการผลิตจะเกิดขึ้นได้ เพียงจากการผสมผสานกันระหว่างอนาคตและอดีต เพราะนวัตกรรมที่แท้จริงจะไม่ได้ เป็นแค่เพียงความก้าวหน้าอย่างเดียว แต่จะเกิดขึ้นได้เมื่อเทคโนโลยีล้ำสมัย สามารถผสานเข้ากับงานฝีมือ และประเพณีอันทรงเกียรติไปพร้อมกันได้ด้วย อย่างเช่นนาฬิการุ่น Freak [X Gold Enamel] รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ที่สะท้อนให้เห็นได้ ถึงความเชี่ยวชาญของ ULYSSE NARDIN ในศาสตร์ด้านนี้ ด้วยการผสมผสานกลไกอันล้ำสมัยของ Freak ให้เข้ากับความงดงามคลาสสิค
ตามแบบของเมทิดาร์ท (Métier d’Art) ที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งเมื่อผสานรวมกันแล้ว นาฬิกาเรือนนี้จึงกลายเป็นการฉลองให้กับ งานการออกแบบที่แหวกแนวพร้อมเทคโนโล อันยีล้ำสมัยผนวกงานฝีมือสวิสที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ จากเทคนิคด้านการผลิตและการตกแต่งที่หายากซึ่ง ULYSSE NARDIN ดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดีมาตั้งแต่อดีต การลงยาหรือที่เรียกว่าอีนาเมลถือเป็นศิลปะที่พิเศษอย่างยิ่ง โดยศิลปะโบราณนี้เป็นงานการสืบทอดมากว่า 3,000 ปีจากอารยธรรมต่างๆ เช่น จากอียิปต์ จากจีน และจากจักรวรรดิโรมัน
ที่ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการผลิตนาฬิกาในช่วงศตวรรษที่ 17 โดยการลงยามีชื่อเสียงในด้านสีสันที่สดใสและเข้มข้น พร้อมให้สีสันที่ลุ่มลึกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และยังไม่มีการซีดจางไปตามกาลเวลา ที่ต่างจากการเคลือบพื้นผิวแบบดั้งเดิม โดยปัจจุบันเทคนิคการลงยายังคงเป็นหนึ่ง ในศิลปะที่มีความประณีตที่สุดในวงการนาฬิกา โดยมีเพียงแหล่งผลิตไม่กี่แห่งทั่วโลก ที่มีความเชี่ยวชาญระดับสูงในเทคนิคนี้ อย่างเช่น DONZÉ CADRANS ซึ่งเป็นสตูดิโอที่ผลิตงานลงยาเฉพาะทางของ ULYSSE NARDIN
และเพื่อรับประกันถึงการสืบทอด ในด้านความเชี่ยวชาญของเทคนิคนี้ ULYSSE NARDIN จึงเริ่มร่วมมือกับ DONZÉ CADRANS มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 พร้อมเข้าซื้อกิจการเวิร์คช็อปในปี 2011 โดยเวิร์กช็อปแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1972 ที่เลอโลคซึ่งอยู่ห่างจากโรงงานของ ULYSSE NARDIN ไปเพียงไม่กี่ช่วงถนน โดย Francis Donzé ช่างอีนาเมลระดับปรมาจารย์ ที่สร้างให้เวิร์กช็อปแห่งนี้กลายเป็นต้นแบบในวงการ จากความเชี่ยวชาญทางเทคนิคดั้งเดิม ตั้งแต่ กรองด์ฟูว์, คลัวซอนเน่, ชองเพลเว่ และกีโยเช-แฟล็งเก้
ด้วยกำลังการผลิตชิ้นงานหน้าปัดประมาณ 1,200 ชิ้นต่อปี เวิร์กช็อปแห่งนี้จึงไม่เพียงแต่จัดหาหน้าปัดให้กับ ULYSSE NARDIN เท่านั้น แต่ยังให้บริการแก่ช่างนาฬิก าและสถาบันชั้นนำอื่นๆ ที่ต้องการชิ้นงานเพื่อการบูรณะนาฬิกาโบราณอีกด้วย โดยช่างลงยาของ DONZÉ CADRANS ที่ถือเป็นผู้มีประสบการณ์มากที่สุดในวงการนี้ จากโรงงานแห่งนี้ที่มีช่างฝีมือจำนวนแปดคน ซึ่งทุกคนทุ่มเทเวลามากว่าสามทศวรรษ เพื่อพัฒนาทักษะของตนให้มีความสมบูรณ์แบบ จากการเรียนรู้พื้นฐานของการลงยา ที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าปี
พร้อมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องอันเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อการบรรลุถึงระดับความเป็นเลิศที่ต้องการ โดยหน้าปัดแต่ละชิ้นล้วนเป็นผล มาจากความเชี่ยวชาญที่สั่งสมซึ่งล้วนเป็นงานฝีมืออันประณีต จากการรวบรวมทั้งความละเอียดอ่อนทางศิลปะ และวินัยทางเทคนิคประกอบเข้าไว้ด้วยกัน จากการผลิตงานลงยาที่ถือเป็นการควบคุม กระบวนการที่ตอบสนองฉับไวอย่างยิ่ง ซึ่งไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในเชิงอุตสาหกรรมได้ โดยต้องมีสัญชาตญาณและความเร็ว ที่ไม่สามารถเลียนแบบได้ด้วยโปรแกรมหรือเครื่องจักรใดๆ
ซึ่งกับ DONZÉ CADRANS ที่แม้จะมีชื่อเสียงในด้านการผลิต ชิ้นงานหน้าปัดลงยาแบบคงที่ แต่จานหมุนของ Freak X กลับเป็นความท้าทายทางเทคนิคที่ยิ่งใหญ่กว่าอย่างมาก ซึ่งมีความแตกต่างจากหน้าปัดแบบดั้งเดิม จากจานหมุนชั่วโมงอันเป็นส่วนสำคัญของชุดกลไกเอง และเป็นส่วนประกอบทางกลไก ที่ใช้งานได้จริงและยังเคลื่อนที่ได้ โดยประกอบด้วยอุปกรณ์ที่ยึดด้วยสกรูว์หลายตัว ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ต่างเพิ่มความซับซ้อน ให้กับกระบวนการลงยาซึ่งต้องการความแม่นยำ และความเชี่ยวชาญทางเทคนิค
ระดับที่เป็นเลิศสูงยิ่งขึ้นไปกว่า พร้อมทั้งวัสดุที่ใช้ในการผลิตแผ่นโลหะ ยังต้องได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถันอันได้แก่ พิ๊งค์โกลด์ชนิด 22 กะรัต (ทองคำ 917 และทองแดง 83) ซึ่งมีคุณสมบัติเพื่อการทนความร้อนได้อย่างยอดเยี่ยม โดยส่วนผสมอันเป็นเอกลักษณ์นี้ ช่วยให้แผ่นโลหะสามารถทนต่ออุณหภูมิ ในระดับที่สูงช่วงระหว่างการเผา ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการเคลือบอีนาเมล และสุดท้ายที่แผ่นโลหะยังประทับลวดลายซันเรย์อันละเอียดอ่อน ที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของอันเป็นเอกลักษณ์ของ Freak X
กรุณาติดตามในบทความตอนต่อไป
