20 Years of Freak by ULYSSE NARDIN
ในช่วงปลายของยุค 90s การฟื้นฟูการผลิตนาฬิกาของสวิสกำลังดำเนินไปด้วยดี และผู้ประกอบการชาวสวิสจำนวนหนึ่ง ได้หันมายึดสร้างจิตวิญญาณแห่งการผลิตนาฬิกาในรูปแบบใหม่ ซึ่งยังคงความเคารพต่อรูปแบบและคุณภาพในด้านการผลิตเช่นเดิม แต่เริ่มกระบวนการสร้างแบบใหม่ขึ้นมา จากที่ในช่วงยุค 70s และ 80s ได้ถูกกลบโดยเทคโนโลยีของกลไกควอท์ซ ที่ผลิตขึ้นโดยแบรนด์นาฬิกาจากประเทศอื่น
Mr.Rolf Schnyder ผู้มีวิสัยทัศน์และมองเห็นศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของนาฬิกาแบบจักรกล ที่เขาต้องการนำมรดกและชื่อเสียงของ ULYSSE NARDIN ให้หวนกลับคืนมา ด้วยแนวความคิดของนาฬิกาข้อมือร่วมสมัย ที่สร้างสรรค์อย่างมีชีวิตชีวาให้กับผู้ชื่นชอบนาฬิการุ่นใหม่ แต่การที่จะทำเช่นนั้นได้ เขาจำเป็นต้องมีตัวอย่างของนาฬิกาที่มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจน และสามารถขยายพลังใหม่ในการผลิตนาฬิกาของสวิสให้ได้
ซึ่งความทะเยอทะยานที่เพิ่มขึ้นของ ULYSSE NARDIN กลายเป็นแรงพลักดันทางด้านการออกแบบ ที่พุ่งพรวดที่จะเขย่าวงการ พร้อมเบนความสนใจของกลุ่มผู้ซื้อนาฬิกากลไกรุ่นใหม่ได้ จากเบื้องหลังของ Mr.Schnyder ที่ทำงานร่วมกันกับ Dr.Ludwig Oechslin ช่างนาฬิกาอัจฉริยะในการรังสรรค์นาฬิการูปแบบใหม่ ที่จะไม่มีหน้าปัด ไม่มีเข็ม และไม่มีเม็ดมะยม พร้อมชื่อเรียกเดียวเท่านั้นนั่นคือ Freak
และการเปิดตัวครั้งแรกในปี 2001 ที่กลายเป็นการเขย่าวงการ ที่ไม่เพียงแต่จากการออกแบบและกลไกที่แหวกแนวเท่านั้น แต่การตั้งเวลาก็ยังมาจากการหมุนขอบตัวรือน และไขลานด้วยการหมุนขอบด้านหลังตัวเรือน นอกจากนี้ Freak ยังเป็นนาฬิกาสวิสเรือนแรกที่มีกลไกไขลาน ที่มีชิ้นส่วนที่ผลิตจากซิลิคอนที่มีน้ำหนักเบาและยืดหยุ่น ไม่มีการเสียดสี พร้อมมีคุณสมบัติด้านการต้านทานแรงเสียดทานที่สูง
เพื่อช่วยทำให้นาฬิกามีความทนทานที่สูงขึ้น โดยปัจจุบันการใช้ซิลิคอนในการผลิตนาฬิกา ถือเป็นเรื่องปกติทั่วไป ต่างจากช่วงนั้นที่นับเป็นการปฏิวัติวงการ โดยมี Freak เป็นนาฬิกาเรือนแรก หลังจากนั้นจึงมีนาฬิการุ่นอื่นๆ ที่เผยโฉมตามมาในลักษณะเดียวกันมากมาย ซึ่งนาฬิกา Freak ก็ยังมีการปรากฏตัวในรูปแบบต่างๆ อีก พร้อมใช้เป็นผลงานในการทดสอบเทคโนโลยีขั้นสูงอีกด้วย แต่ก็ยังคงรูปแบบเหมือนเดิมนั่นก็คือ Freak
จากปี 2001ที่ Freak รุ่นแรกถูกนำเสนอ และถือเป็นผลลัพธ์ในการผลิตนาฬิการะดับไฮเอนด์ของสวิส พร้อมชิ้นส่วนกลไกที่ผลิตจากซิลิคอน จนต่อมาในปี 2007 กับ Freak [DiamonSil] ที่เป็นดั่งเครื่องมือทดสอบสำหรับนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง จากชิ้นส่วนซิลิคอนเคลือบผงเพชรที่ได้รับการจดสิทธิบัตร เพื่อเพิ่มคุณสมบัติด้านประสิทธิภาพให้กับกลไก ซึ่งยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
และต่อมาปี 2010 กับ Freak [DiaVolo] กับชุดตูร์บิยองแบบฟลายอิ้ง หมุนครั้งที่สอง จากชื่อที่มาจากกระสวยสีแดง ที่กักเก็บพลังสำรองลานซึ่งสามารถมองเห็นได้ผ่านทางฝาด้านหลัง จนถึงปี 2018 กับ Freak [Vision] ที่มากับกลไกแบบอัตโนมัติเป็นครั้งแรก พร้อมบาลานซ์วีลขนาดใหญ่กับไมโครเบลด ที่มีการจดสิทธิบัตรเพิ่มเติมอีกครั้งถึง 3 รายการที่ช่วยตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็นนาฬิกานวัตกรรมของFreak
จนในปี 2019 ที่ Freak [X] ที่สร้างตำนานบทใหม่ขึ้นเพื่อความเข้าถึงที่ง่ายกว่า โดยช่างนาฬิกาของ ULYSSE NARDIN ได้ทำการปรับปรุงกลไกนาฬิกาให้เรียบง่ายขึ้น และเพิ่มเม็ดมะยมเพื่อใช้ในการตั้งค่าเวลา ที่ถือเป็นต้นแบบของ Freak ในยุคใหม่ จนต่อมาในปี 2022 กับ Freak [S] ที่เป็นการพัฒนาแนวทางด้านเทคนิค จากบาลานซ์วีลสองวงที่เชื่อมกับดิฟเฟอเรนเชียล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการแสดงค่าเวลา
พร้อมล่าสุดในปีนี้กับ Freak [One] พร้อมการการพัฒนาปรับรูปแบบใหม่ ที่ได้รับการออกแบบดูลงตัวพร้อมหลักการเดิม ที่จะไม่มีหน้าปัด ไม่มีเข็ม และเม็ดมะยม ในตัวเรือนไทเทเนียมดีแอลซีสีดำและโรสโกลด์ พร้อมการทำงานของซิลิคอนแฮร์สปริง และเอสเคปเมนต์ที่เคลือบไดมอนซิล ทำงานด้วยกลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัติแบบกรินเดอร์ (Grinder®) ที่สามารถให้พลังสำรองลานได้นานถึง 90 ชั่วโมง