LAURENT FERRIER Grand Sport Tourbillon
LAURENT FERRIER เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ในฐานะผู้สร้างนาฬิกาในรูปแบบคลาสสิค ที่เต็มไปด้วยฝีมือการผลิตนาฬิกาแบบดั้งเดิม พร้อมความเป็นเลิศทางกลไก ซึ่งในปีนี้มีการเปิดตัวนาฬิการ่วมสมัยใหม่รุ่นใหม่ล่าสุดนั่นก็คือ Grand Sport Tourbillon ที่ยังคงเต็มไปด้วยรูปแบบและวิธีการผลิตนาฬิกาแบบดั้งเดิม โดยไม่มีการลดทอนในเรื่องเหล่านี้ แม้ปรากฏกายในภาพของนาฬิกาสปอร์ตก็ตาม
กับตัวเรือนสตีลในขนาด 44 มิลลิเมตร ที่ถือเป็นนาฬิกาสปอร์ตรุ่นแรกของแบรนด์ ที่มาพร้อมกับสายสตีลแบบยึดติดกับตัวเรือน พร้อมกลไกระดับสูงในแบบตูร์บิยอง และชุดดับเบิลบาลานซ์สปริง ร่วมกับการออกแบบกลไก และการขัดแต่งในระดับยอดเยี่ยมตามสไตล์ของ LAURENT FERRIER
จากความหลงใหลในการขับรถแข่งตั้งแต่ช่วงปี 1970 Mr. Laurent Ferrier ที่จะพบเห็นได้บ่อยๆ ที่หลังพวงมาลัยรถแข่ง เข้าแข่งขันในรายการ Le Mans 24 ชั่วโมงที่มีชื่อเสียงถึงเจ็ดครั้ง และยังได้รับชัยชนะในประเภทต้นแบบสองลิตรในปี 1977 และอีกครั้งในปี 1979 กับรางวัลอันดับสาม ร่วมกับ Mr. François Servanin เพื่อนร่วมทีม ในขณะที่ Paul Newman มาเป็นอันดับสองในการแข่งขันรายการเดียวกัน
ซึ่งต่อมา Mr. François Servanin และ Mr. Laurent Ferrier จึงได้ร่วมกันก่อตั้งแบรนด์ LAURENT FERRIER ขึ้นในปี 2008 และปัจจุบัน Mr. François ก็ยังมีตำแหน่งเป็นประธานบริษัทอยู่ ซึ่งนับได้ว่าความหลงใหลที่มีต่อกีฬามอเตอร์สปอร์ต ถือเป็นดีเอ็นเอของแบรนด์ และความชื่นชอบของ Mr. Laurent ก็นำมาสู่การสร้างนาฬิการุ่น Grand Sport Tourbillon ใหม่นี้ ที่ผนวกความร่วมสมัยเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิม
โดยการออกแบบ จะเน้นองค์ประกอบหลักกับการขัดลายซาติน ในตัวเรือนรูปทรงคูชชั่นตามสไตล์ของแบรนด์ แต่มีการผนึกสายเข้ากับตัวเรือน โดยสายจะเป็นแบบสามบล็อก พร้อมการขัดเงาที่ขอบข้างสาย ซึ่งทำให้มีความหรูหรามากขึ้น ในขณะที่หน้าปัดเน้นการให้สารเรืองแสงซุปเปอร์-ลูมิโนว่าสีส้ม
ในขณะที่กลไกภายใน ถือเป็นหัวใจสำคัญของนาฬิกาทุกรุ่นจาก LAURENT FERRIER ซึ่งรวมถึง Grand Sport Tourbillon เรือนนี้ด้วย เพราะมีการออกแบบให้ใช้กลไกตูร์บิยอง พร้อมดับเบิลบาลานซ์สปริง ที่จะช่วยให้กรงตูร์บิยองทำงานได้เสถียรขึ้น และสามารถให้ความเที่ยงตรงแม่นยำที่เหมาะสมที่สุด
และด้วยความพิเศษของงานการผลิตทั้งในด้านกลไกระดับสูง และในด้านการขัดแต่งชั้นแนวหน้าของนาฬิกาเรือนนี้ LAURENT FERRIER จึงเน้นในคุณภาพการผลิต และจะนำออกสู่ตลาดในแบบลิมิเต็ดเอดิชั่นกับจำนวนเพียง 12 เรือนทั่วทั้งโลก