She Said ...
By: Piyaporn Phongprapat
เช้าวันหนึ่งระหว่างทางกลับบ้านหลังจากส่งลูกสาวไปโรงเรียน พ่อยอดชายของฉันก็ได้ปรารภขึ้นมาว่า "ว่างๆ เธอลองเขียนเรื่องนาฬิกาของเธอบ้างสิ" ฉันก็รับปากเออออไปตามเรื่อง ด้วยไม่เคยขัดใจคุณสามีอยู่แล้ว แม้ว่าภาพพจน์ของฉันในสายตาเพื่อนของคุณยอดสามีจะดูเป็นแม่มากกว่าภรรยาก็ตาม ในที่สุดเช้านี้ฉันก็ต้องเริ่มต้นเขียนบทความนี้ด้วยเหตุผลหลักก็คือ สามีบังคับและขู่เข็ญ
ด้วยความที่ครอบครัวฉันเป็นครอบครัวใหญ่ มีพี่น้องมาก และฉันเป็นน้องเล็ก สมัยฉันเด็กๆ เลยได้รับข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เป็นมรดกตกทอดมาจากพี่ๆ เสมอ เมื่อโตพอที่จะรู้ประสีประสาและสามารถจะรับผิดชอบสมบัติของตัวเองได้ มรดกมีค่าชิ้นแรกที่ฉันได้รับก็คือนาฬิกา Omega สายหนังเรือนเล็กๆ เรือนหนึ่ง ตอนนั้นนาฬิกาในชีวิตของฉันมีความหมายแค่ใช้คำนวณเวลาที่เหลือก่อนจะหมดคาบเรียนเท่านั้น บอกตรงๆ ฉันไม่รู้หรอกว่าเจ้า Omega นั้นมันมีอะไรพิเศษในตัวของมันไปมากกว่านั้น
เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น ก็เริ่มมีนาฬิกาสีสันสดใสเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยซึ่งก็ดูสวยสดใสจับใจวัยรุ่นอย่างฉันเป็นอันมาก จนต้องเก็บเงินค่าขนมเพื่อเป็นค่านาฬิกา โดย 2 เรือนแรกที่ฉันซื้อก็คือ Swatch กับ Benetton เพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อเรือนใดระหว่าง 2 เรือนนี้ จำได้ว่า Swatch เป็นสีเขียว-แดง ส่วน Benetton เป็นสีฟ้าที่มีธงชาติต่างๆ แทนตัวเลขบอกเวลา ฉันชื่นชอบนาฬิกาพวกนี้มาก ด้วยว่าในตอนนั้นราคาก็ไม่แพงนัก สนนราคาเรือนละ 750 บาท สามารถใส่ได้ทุกเวลา ใส่ว่ายน้ำก็ได้ และนอกจากจะเป็นเครื่องบอกเวลาแล้ว นาฬิกาก็เป็นเหมือนเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง
จวบจนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยและได้เข้าอบรมหลักสูตรดำน้ำ ในช่วงนั้น TAG Heuer เป็นที่นิยมมาก ฉันจึงไปซื้อของขวัญวันเกิดปีที่ 21 ให้กับตัวเองด้วยนาฬิกา TAG Heuer รุ่น 2000 ในราคา 9,500 บาท เป็นนาฬิกากันน้ำลึกเรือนสเตนเลสหน้าปัดสีทองโดยมีขอบหมุนสีเงินในขนาดกลางหรือที่เรียกกันว่าบอยไซส์ ฉันรู้ว่า TAG Heuer เรือนนั้นสามารถใส่ดำน้ำได้และจับเวลาได้ด้วยวิธีหมุนวงแหวนบนหน้าปัดซึ่งจะเป็นตัวช่วยจำว่าเราลงน้ำไปเมื่อไหร่ เวลาผ่านไปแค่ไหน จะได้นำมาคำนวณกับความลึกที่ดำลงไปเพื่อเช็คระดับไนโตรเจนที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย นาฬิกาเรือนนี้เปรียบเหมือนอุปกรณ์ที่สำคัญชิ้นหนึ่งในกิจกรรมดำน้ำ
เวลาผ่านไปบวกกับวัยที่เพิ่มขึ้นหลังจากเริ่มทำงานไปได้หลายปี ผลงานที่ได้ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจของผู้บังคับบัญชาซึ่งก็คือคุณพ่อคุณแม่นั่นเองจึงได้รับรางวัลเป็นนาฬิกา Rolex สองกษัตริย์ หน้าปัดลายคอมพิวเตอร์สีทอง นาฬิกาเรือนนั้นนำมาซึ่งความภาคภูมิใจในความเพียรพยายามของเรา ถึงแม้ปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่ได้จากไปแล้ว นาฬิกาเรือนนี้ก็ยังเป็นตัวแทนและเป็นที่ระลึกถึงท่านทั้งสองติดตราตรึงอยู่ในหัวใจของฉันเสมอมา
ในช่วงเวลานั้น ความรู้สึกที่มีต่อนาฬิกาก็คือ Rolex เป็นนาฬิกาแบรนด์ระดับสูงสุดแล้วโดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า แท้จริงแล้วยังมีนาฬิการะดับแนวหน้าอีกมากมายหลากหลายแบรนด์ และนาฬิกาแต่ละแบรนด์แต่ละรุ่นก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันอีกมากมาย อาทิ กลไกต่างๆ ที่ซับซ้อน ตอนนั้นฉันรู้แค่เพียงว่านาฬิกามีแบบใส่ถ่าน ไขลาน และออโตเมติก เท่านั้น เนื่องจากไม่เคยใส่ใจใฝ่หาความรู้เรื่องนาฬิกาเลยแม้แต่น้อย เมื่อต้องออกงานก็ใส่ Rolex วันปกติก็ใส่ TAG สลับกันไปเช่นนี้เสมอมา
ต่อเมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายปี กระทั่งฉันพบรักกับหนุ่มหน้ากลมที่แสนเอาอกเอาใจทั้งฉันและครอบครัวเป็นอย่างดี จนกระทั่งมีพยานรักขึ้นมา 1 คน ในช่วงปีแรกที่ลูกสาวเกิดมานี้เอง หนุ่มใหญ่หน้ากลมที่ฉันจะขอเรียกเค้าเป็นคุณยอดสามีก็เริ่มปันใจไปให้กับนาฬิกาที่เค้าเคยหลงใหลมานาน โดยซ่อนไว้ลึกๆ ในใจดวงน้อยของเค้าและไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน
คุณยอดสามีเริ่มติดพันกับวงการนาฬิกาชนิดโงหัวแทบไม่ขึ้น อ่านตั้งแต่หนังสือนาฬิกา เว็บบอร์ดนาฬิกา ชิทแชทกับมิตรรักนาฬิกาตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งนอนหลับตา ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ จึงนำพามาซึ่งความไม่ภาคภูมิใจของฉันเป็นอันมาก เวลาที่เคยทุ่มเทให้ฉันถูกนาฬิกาดึงไปจนหมด เรียกได้ว่าฉันเกิดอาการหึงหวงอย่างเห็นได้ชัด เรื่องอะไรที่คนเราจะต้องเป็นเมียหลวงล่ะ ฉันไม่อยากมีคำต่อท้ายคำว่าเมียนี่นา และที่สำคัญก็คือเจ้าเมียน้อยนี่กำลังมาแรงแซงทางโค้งเมียหลวงอย่างฉันด้วยน่ะสิ เรียกว่าหายใจเข้าก็เป็น AP หายใจออกเป็น Patek และอื่นๆ อีกมากมาย
ฉันก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าคนเราจะสรรหานาฬิกาต่างๆ มาครอบครองไว้ทำไมตั้งมากมาย มือก็มีแค่ 2 มือ เวลาใส่นาฬิกาก็ใส่กันแค่ข้างเดียว จะมีใครไหมที่ใส่นาฬิกาทีละหลายๆ เรือน ทุกๆ เช้าคุณยอดสามีก็จะเอากรุนาฬิกาออกมาชื่นชมและเลือกดูว่าจะเรือนไหนที่เข้ากันกับสไตล์เสื้อผ้าในแต่ละวัน ตกเย็นก็กลับบ้านมาเปิดกรุนาฬิกาชื่นชมอีก แบบนี้เมียหลวงอย่างฉันจะไม่หึงได้อย่างไร
จนในที่สุด คุณยอดสามีก็หาทางออกให้ตัวเองด้วยการสรรหานาฬิกาหลากหลายรูปแบบมาล่อหลอกฉัน บางครั้งก็แคะกระปุกไปซื้อมากำนัลฉันในเทศกาลสำคัญต่างๆ จากนั้นนับวันนาฬิกาที่ฉันมีก็เริ่มจะพอกพูนขึ้นทุกทีจนกระทั่งในวันนี้ฉันมีนาฬิกาในครอบครองมากกว่าคุณยอดสามีซะอีก แต่...ก็ยังคงไม่รู้เรื่องราวลึกๆ ของนาฬิกาแต่ละเรือนอยู่ดีว่า เรือนไหนไขลาน เรือนไหนควอตซ์ เรือนไหนออโตเมติก ก็ยังงงงงอยู่ในบางครั้ง เรียกว่าทื่ชอบนาฬิกานั้น มาจากความรู้สึกหลงใหลในรูปลักษณ์ภายนอกของนาฬิกามากกว่ากลไกภายในนั่นเองแต่ถ้าถามว่าแบรนด์ไหนถูกใจที่สุดก็คงจะตอบได้ทันทีว่า AP (Audemars Piguet) ด้วยรูปทรงหน้าปัด 8 เหลี่ยม ที่มีน็อตประดับในแต่ละเหลี่ยม ดูเก๋เท่ห์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร เผลอไปเผลอมาพ่อยอดชายก็เอามานำเสนอและกำนัลให้ฉันมาถึง 3 เรือน
เรือนเล็กสุดที่ดูท่าจะแพงสุดนั้นเอาไว้ใส่ไปงานหรู สเน่ห์น่าจะอยู่ที่หน้าปัดคล้ายดอกไม้สีชมพูหวาน แต่มองเวลายากมาก ก็หน้าปัดเล็กขนาดนั้นคนวัยขนาดหลักสี่อย่างฉันจะมองเห็นชัดถนัดสักแค่ไหน ก็เอาน่า ใส่โก้ๆ ไว้ฉุยฉายไปตามงานต่างๆ ก็แล้วกัน เรือนต่อมาเป็นเรือนที่ใหญ่ที่สุดซึ่งฉันคิดว่าเดิมน่าจะเป็นของคุณสามีซะมากกว่า แต่ท่าจะเหมาะกับหนุ่มน้อยมากกว่าหนุ่มใหญ่อย่างคุณยอดสามี เนื่องจากคุณเธอคงมองวันที่ไม่เห็นด้วยวัยที่อยู่ใกล้ห้าแยกปากเกร็ด ที่รู้เพราะฉันชอบให้คุณสามีบริการตั้งเวลาให้ คุณเธอก็จะตั้งให้แต่เวลา ส่วนวันที่ไม่ตั้งให้ ด้วยเหตุผลว่า ก็ฉันไม่ได้บอกให้ตั้งวันที่ด้วยนี่นา เฮ้อ! นี่ล่ะยอดสามีตัวจริง บางทีคุณเธอก็บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอกวันที่น่ะ มองก็ไม่ค่อยเห็นอยู่แล้ว ช่างมันเหอะ" นี่เป็นความน่ารักแบบน่าตบของคุณเธอ นาฬิกาเรือนนี้เลยตกมาเป็นมรดกของฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัว
เรือนสุดท้ายของครอบครัว AP หน้าปัดเป็นสีฟ้า เป็นสีโปรดของฉันมาแต่เด็ก ทั้งที่สมัยก่อนเด็กหญิงทั่วไปมักชอบสีชมพู แต่ฉันกลับชอบสีฟ้า เรือนนี้เป็นเรือนที่ฉันหยิบมาใส่บ่อยที่สุด อย่าได้ยลโฉมนาฬิกาใกล้ๆ เลยนะ เพราะจะมีรอยเต็มไปหมด เดี๋ยวโขก เดี๋ยวชนทั้งวัน นอกจากสีถูกใจแล้ว ขนาดก็พอเหมาะ ไม่ใหญ่ไม่เล็กไม่หนาไม่บาง เข้ากับเสื้อผ้าได้ทุกรูปแบบ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่านะ
ชุดต่อไป ขอกล่าวถึงครอบครัว Rolex โดยเริ่มจากเรือนแรกที่ได้เกริ่นไว้ข้างต้นว่าเป็นรางวัลจากการทำงานได้สมใจบุพการีบวกกับขอบเพชรที่พี่สาวสุดเลิฟจัดให้จึงเป็นนาฬิกาใส่ออกงานอีกเรือนหนี่งที่จะส่องประกายวิบวับบนข้อมือแสนสวย ส่วนเรือนต่อไปเป็นเรือนหน้าปัดสีทองแดงอมชมพู ฉันไม่รู้หรอกว่าแท้จริงเค้าเรียกสีอะไร แต่ก็เป็นสีที่ฉันชอบอีกสีหนึ่ง ดูไม่หวานจนเกินไป ใส่ได้ทุกเทศกาลไม่ดูหรูหราเตะตาใครๆ ดูเวลาง่ายและเก๋เท่ห์ด้วยตัวเลขโรมันที่ฉันหลงใหลมานาน จะมีสักกี่คนที่ชอบตัวเลขโรมันเหมือนฉันนะ
มาถึงน้องใหม่ในครอบครัว Rolex ซึ่งเป็นน้องที่ตัวใหญ่ที่สุด เป็นมรดกตกทอดมาจากคุณสามี คงเป็นเพราะคุณท่านกำลังหมายตา Daytona เรือนทองสายทองอยู่ ก็แน่ล่ะสิ อายุอานามก็ล่วงเข้าวัยป๋าเข้าไปทุกทีก็เลยยกเรือนนี้มาให้ฉัน จะได้มีข้ออ้างในการสอยนาฬิกาเรือนใหม่ คิดหรือว่าฉันจะไม่ล่วงรู้ความในใจของคุณเธอ เรื่องราวของ Daytona สำหรับพ่อยอดขมองอิ่ม เป็นเรื่องยาววววจากบ้านหม้อไปสวีเดนแล้วย้อนกลับมาที่ซอยรางน้ำ เริ่มจากสิบกว่าปีก่อนที่ฉันซื้อ Daytona สองกษัตริย์มาให้เขาเป็นของขวัญวันเกิดในสมัยที่ร้านนาฬิกาแต่ละแห่งกว่าจะได้นาฬิการุ่นนี้มาวางขายในร้านนั้นเป็นเรื่องยากเพราะต้องทำยอดขายให้ทะลุเป้าก่อนจึงจะได้มาขายเรือนหนึ่ง ในขณะเดียวกันผู้ต้องการซื้อกลับมีเป็นจำนวนมาก อย่างว่านะ ของสิ่งใดได้มายาก ก็ยิ่งอยากเสาะหามาครอบครอง Daytona ก็เฉกเช่นเดียวกัน จน 2 ปีให้หลัง กระแสความนิยมเริ่มเปลี่ยนจากสองกษัตริย์มาเป็นสเตนเลส ส่งผลให้ราคาสเตนเลสพุ่งกระฉูดแซงโค้งสองกษัตริย์อย่างไม่น่าเป็นไปได้ และอีกเช่นกัน คุณยอดสามีก็รบเร้าขออนุญาตเทรดกับเพื่อนเพื่อเปลี่ยนจาก Daytona สองกษัตริย์ไปเป็นสเตนเลสโดยต้องเพิ่มสตางค์ให้กับค่านิยมที่เปลี่ยนไปด้วย ที่สำคัญคือกลายเป็นฉันที่ต้องเพิ่มสัดส่วนนั้นให้กับคุณเธออีกด้วย เนื่องจากคุณเธออ้างว่าจะได้ยังคงเป็นของขวัญวันเกิดอยู่เหมือนเดิม ทำเอาฉันอึ้งกิมกี่ไปในบัดดล
แต่แล้วเมื่อเวลาผันผ่านเช่นเดียวกับวัยหนุ่มที่ค่อยๆ จากไป คุณยอดสามีก็แอบหมายปองเจ้าหน้าปัดทองเรือนนี้ขึ้นมา ตอนแรกฉันก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงได้เปลี่ยนรสนิยมมาชอบเรือนทองได้ ฉันว่าดูแก่กว่าวัยอันควร แต่คุณยอดสามีกลับบอกว่าคลาสสิกสุดๆ แรกเริ่มเดิมทีเดียววันที่เขาได้มานั้นฉันเห็นนาฬิกาเรือนนี้มาพร้อมกับสายหนังจระเข้สีเข้ม มาวันหนึ่งคุณยอดสามีเห็นดาราเมืองนอกใส่นาฬิการุ่นนี้เลยแนะให้ฉันลองใส่ดูบ้างจะได้แบ่งกันใส่ ฉันก็ได้ปฎิเสธไป สุดท้ายคุณยอดสามีเลยไปเลือกสรรสายหนังสีขาวมาใส่ให้ฉัน จะได้ดูซอฟต์ลงบ้างไม่แก่จนเกินไป (ถึงวัยจะเปลี่ยนไป อย่างไรฉันก็ไม่ยอมแก่หรอก) เมื่อเปลี่ยนสายให้แล้ว Daytona เรือนนี้จึงต้องย้ายบ้านจากกล่องนาฬิกาคุณยอดสามีมาอยู่ในกล่องนาฬิกาของฉันแทนด้วยประการฉะนี้
ครอบครัวต่อมาเป็นครอบครัว Jaeger (Jaeger-LeCoultre) อันมีประวัติมาจากความหลงใหลส่วนตัวของคุณยอดสามีมานานแสนนานตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มน้อยๆ สมัยที่เราทั้งสองยังไม่ได้เป็นแฟนกันเลยด้วยซ้ำ โดยหลังจากแต่งงานแล้วแต่จำไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นปีไหน คุณยอดสามีก็ได้ซื้อ Jaeger สองหน้าปัดสองบุคลิกมาเป็นของขวัญวันเกิดให้ฉัน ช่างน่ารักอะไรเช่นนี้ ต้องชมสักหน่อย จะได้ควักกระเป๋าซื้อของขวัญให้ฉันทุกปี Jaeger เรือนนี้สามารถพลิกสลับหน้าปัดได้โดยหน้าหนึ่งเป็นหน้าปัดขาวที่เหมาะสำหรับใส่ช่วงกลางวัน ขณะที่เมื่อพลิกกลับอีกด้านจะเป็นหน้าปัดสีเทาบนตัวเรือนประดับเพชรเม็ดเล็กๆ เหมาะสำหรับใส่ไปปาร์ตี้หลังเลิกงาน ไปดินเนอร์ หรือออกงานได้อย่างไม่อายใคร การตั้งเวลาทั้ง 2 ด้านพร้อมกันด้วยเม็ดมะยมตัวเดียวกันนี้ ฉันต้องเตือนตัวเองทุกครั้งที่ใส่นาฬิกาเรือนนี้ว่า ต้องไม่ลืมว่าเรือนนี้เป็นแบบไขลาน ฉันต้องไขลานทั้งเช้าและเย็นเพราะฉันไม่ค่อยกล้าไขลานหลายรอบนัก ด้วยว่าสมัยเด็กๆ เคยไขลานนาฬิกาจนลานขาดมานักต่อนัก เลยใช้วิธีไขลานครั้งละ 10 รอบในตอนเช้าก่อนใส่ และอีก 10 รอบในตอนเย็นเมื่อถอดเก็บ แต่ก็มีหลายครั้งที่ฉันลืม พอมองเวลาอีกทีก็พบว่านาฬิกาหยุดเดินไปตั้งนานแล้วจนต้องรีบตั้งเวลาใหม่พร้อมไขลานทันทีก่อนจะมีคนมาเห็นเข้าเดี๋ยวได้อายกันพอดี
ส่วนเรือนต่อมาเป็น Jaeger เรือนทอง คุณยอดสามีแนะนำให้ซื้อด้วยว่าดูมีคุณค่าในตัวเอง และคุณเธอก็ได้นำไปแกะสลักอักษร P ด้านหลังให้ด้วย ตัว P นี้เป็นอักษรย่อของชื่อและนามสกุลของครอบครัวเรา โดยได้นำนาฬิกา Jaeger ของตัวเองไปแกะสลักเป็นคู่กันแต่เรือนนี้ฉันแทบไม่ได้ใส่เลย ด้วยรู้สึกว่าดูสูงวัยไปสักหน่อย
ครอบครัวสุดท้ายที่จะขอกล่าวถึง เป็นครอบครัว Patek (Patek Philippe) เรือนแรกที่มีเป็นรุ่น Twenty Four หน้าปัดสีเทาที่สาวๆ หลายๆ คนหลงใหล ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบ จำได้ว่าฉันกรี๊ดออกมาดังลั่นตอนที่คุณเธอนำมามอบให้ตั้งแต่เมื่อสมัยที่ยังไม่ค่อยมีคนใช้กันมากมายเหมือนในตอนนี้ คงเป็นเพราะรูปทรงสี่เหลี่ยมแบบไม่ดูหวานจนเกินไปที่เพิ่มความหรูหราด้วยการประดับเพชรเรียงแถวที่ด้านข้างบนตัวเรือน ตัวเรือนและสายก็กลมกลืนเข้ากันเป็นอย่างดีโดยไม่มีขอบมุมที่จะไปเกี่ยวกับเสื้อผ้าได้ แต่สำหรับฉันเองก็อดไม่ได้ที่จะเอานาฬิกาเรือนหรูนี้ไปชนโน่นชนนี่เป็นประจำ
เรือนต่อมาเป็นเรือนหน้าปัดช็อกโกแลตซึ่งเป็นอีกเรือนที่ฉันใส่บ่อยที่สุดในครอบครัวนี้ เรือนนี้เป็นความผสมผสานที่ลงตัว ขนาดตัวเรือนก็ใส่ได้ทั้งชายและหญิง แน่นอนว่าเป็นมรดกมาจากคุณยอดสามีอีกเรือนหนึ่ง ตัวเลขเห็นเด่นชัด มีพรายน้ำช่วยให้ดูเวลาได้แม้ในเวลากลางคืน มีวันที่ และมากับสายยางที่ดูสปอร์ต
สุดท้ายเป็นรุ่น Lady Moon Phase ซึ่งมีสนนราคาแพงที่สุดในครอบครัวแต่ได้ใส่น้อยที่สุด เป็นนาฬิกาไขลานล้อมเพชรที่มาพร้อมกับสายซาตินอ่อนหวาน นาฬิกาเรือนนี้มีลูกเล่นมากมายแต่ฉันก็ไม่เคยสนใจที่จะดูสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นดวงจันทร์ที่บอกข้างขึ้น-ข้างแรม หรือว่าเข็มวินาทีที่แยกอยู่ตรงวงกลมเล็กๆ ด้านซ้ายของหน้าปัด ซึ่งความซาบซึ้งในกลไกและคุณค่าที่แฝงอยู่ในนาฬิกาเรือนนี้น่าจะเป็นสิ่งที่คุณยอดสามีชื่นชอบมากกว่าฉันทึ่ไม่ค่อยสนใจเรื่องเหล่านี้ นอกจากรูปทรง ดีไซน์ รวมถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่ต้องใจ
ปกติฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเปลี่ยนนาฬิกาใส่สักเท่าไหร่ ไม่เหมือนคุณยอดสามีที่ต้องเปลี่ยนแทบทุกวัน บางทีเปิดกรุมาก็คิดไม่ออกว่าจะใส่เรือนไหนดีเลยใช้วิธีให้คุณยอดสามีจัดให้ จะได้ให้คุณเธอช่วยตั้งเวลาให้ด้วยไปในตัว และถึงคุณยอดสามีจะรักและหลงใหลนาฬิกาจนกระทั่งพยายามครอบงำฉันไปด้วยอีกคน แต่ฉันก็คิดว่ายังไงฉันก็ยังไม่ได้เป็นสาวกนาฬิกาจัดเหมือนเค้าไปซะทั้งหมดหรอกน่า..