Fil d’or by LOUIS ERARD x WIRE ART, Part II

จากเส้นด้ายทองคำที่ปรากฏบนหน้าปัด ไม่ได้เป็นการพิมพ์ลวดลาย หากแต่ถูกเดินเส้นด้วยด้ายทองคำบริสุทธิ์ ในเทคนิคที่ถือเป็นนวัตกรรมที่ผ่านการจดสิทธิบัตรแล้ว พร้อมความแม่นยำในระดับไมโคร โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากไมโครอิเล็กทรอนิคส์ จากเครื่องจักรที่แต่เดิมถูกออกแบบมา เพื่อเชื่อมต่อวงจรขนาดเล็ก แต่ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ให้กลายเป็นเครื่องมือเชิงศิลป์ในการเดินเส้นด้ายทองคำ โดยงานออกแบบใช้ลวดลายลูกบาศก์อันเป็นเอกลักษณ์ของ LOUIS ERARD พร้อมลวดลาย CHEVRON

 

Screenshot 2568 12 05 at 16.47.06

 

ที่เสมือนภาพลวงตาจากกระบวนการผลิต ที่เริ่มต้นตั้งแต่ภาพร่างไปจนถึงการเขียนโค้ด จากแผ่นทองเหลืองเคลือบแลคเกอร์ สู่หน้าปัดอย่างประณีตบรรจง สู่ผลลัพธ์ที่ได้เป็นหน้าปัดนาฬิกา ที่ดูมีชีวิตและเล่นกับแสงได้ดี ทั้งยังเผยมิติและความคมลึก ซึ่งทั้งหมดนี้คือผลงานของสองช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ Sylvie Villa และ Mark Miehlbradt ผู้ก่อตั้ง Wire Art Switzerland สู่ Fil d’Or อันเป็นผลงานใหม่ ในคอลเลกชั่น Noirmont Métiers d’Art และมาพร้อมตัวเรือนสตีลในขนาด 39 มิลลิเมตร พร้อมการออกแบบที่นำเสนอ

 

Screenshot 2568 12 05 at 16.53.18

 

ผ่านลวดลายลูกบาศก์ในสไตล์ย้อนยุค ที่สะท้อนถึงหน้าปัดแกะสลักลวดลายกิโยเช่ ในแบบสามมิติอันเป็นผลงานของ LOUIS ERARD จากปี 2021 และงานฝังไม้ขนาดเล็กในปี 2023 ซึ่งทั้งหมดนี้คือนาฬิกาที่กล้าเล่าถึงภารกิจของแบรนด์อย่างชัดเจน ในแนวคิดการนำเสนองานฝีมือชั้นสูง ที่หายากให้สามารถเข้าถึงได้ โดยไม่ลดทอนคุณค่าใดๆ ตามเจตนารมณ์ที่ยึดมั่นมาโดยตลอด ตามแนวคิดของ “ความเป็นเลิศที่เข้าถึงได้” ซึ่ง Fil d’Or นี้ก็เช่นกัน ที่เส้นด้ายทองคำและหน้าปัด จะกลายเป็นเวทีศิลป์ให้กับแบรนด์

 

Screenshot 2568 12 05 at 16.53.30

 

จากเทคนิคการบัดกรีระดับจุลภาค อันเป็นงานปักแบบกลไกระดับไมโคร พร้อมงานทองคำบนพื้นแลคเกอร์ดำสนิท ที่มีเส้นทองคำจำนวน 2,320 เส้นที่ถูกร้อยเรียงเป็นลวดลายลูกบาศก์ ขณะที่จุดบัดกรีกว่า 3,660 จุดร่วมสร้างสรรค์กลายเป็นวงชั่วโมง มาร์กเกอร์ชั่วโมง และเน้นรายละเอียดบางจุดให้โดดเด่นขึ้น ซึ่งทุกเส้นลวดจะถูกดึง ถูกจัดวาง และบัดกรีทีละเส้นด้วยกล้องขยายที่มีความแม่นยำสูง กับหนึ่งเส้นในทุก 3 วินาที ซึ่งเป็นเวลารวมกว่า 45 นาทีที่ต้องใช้ความพิถีพิถันสูงบนแผ่นฐานของหน้าปัด

 

Screenshot 2568 12 05 at 16.47.40

 

ที่ยิงด้วยเลเซอร์เพื่อสร้างโพรงจิ๋วนับพัน จากนั้นจึงเติมด้วยเส้นทองคำผ่านกระบวนการชุบไฟฟ้า โดยทุกเส้นลวดและจุดบัดกรีถูกจัดวางตามแบบดิจิทัลใน 2 มิติ พร้อมปรับระดับความสูงอย่างแม่นยำถึงระดับไมครอน พร้อมความดัน อุณหภูมิ และระยะเวลาในการเชื่อมทั้งหมดไม่มีสิ่งใดถูกปล่อยให้เป็นเรื่องของโชค จากเครื่องจักรที่เป็นผู้ลงมือ ผนวกด้วยสายตามนุษย์ที่เป็นผู้ควบคุม ถือเป็นการพบกันของสองความเป็นเลิศ ทั้งความเที่ยงตรงทางเทคนิค และความสมบูรณ์แบบทางศิลปะ

 

Screenshot 2568 12 05 at 16.47.58

 

ทุกเส้นทองคำจะเริ่มต้นจากจุดยึดที่ถูกสลักด้วยเลเซอร์ เคลื่อนผ่านหน้าปัดตามเส้นทางที่คำนวณไว้ด้วยความแม่นยำ และสิ้นสุดที่โพรงเล็กๆ ที่บุด้วยทองคำ โดยทุกจุดสัมผัสจะถูกบัดกรีในระดับจุลภาค โดยใช้เครื่องเชื่อมวงจรที่ถูกโปรแกรมใหม่ ให้กลายเป็นเครื่องมืองานฝีมือระดับสูง ซึ่งถือเป็นงานปักทองคำขนาดเล็ก โดยมีเส้นด้ายและปุ่มนูนร่วมกัน เพี่อสร้างลวดลายที่ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากลูกบาศก์แบบอิโซเมตริก ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างภาพลวงตา และประติมากรรมขนาดจิ๋ว

 

Screenshot 2568 12 05 at 16.48.12

 

ทำให้หน้าปัดดูมีชีวิตเมื่ออยู่บนข้อมือ เพื่อเล่นกับแสงและหลอกสายตา โดยทุกเส้นสายคือทองคำแท้ 24K จากเหตุผลของทองคำบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะอ่อนและยืดหยุ่นเพียงพอสำหรับงานที่มีความละเอียดเช่นนี้ แต่เมื่อผ่านกระบวนการขึ้นรูปแล้วก็ยังคงรูปร่างได้ โดยหน้าปัดแต่ละชิ้นถูกสร้างขึ้นโดย Wire Art Switzerland ณ เมืองแซงต์-ครัวซ์ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของไมโครเมคานิคส์จากสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมกับเข็มนาฬิการูปแบบใหม่ที่เคลือบโรเดียม และมีผิวขัดด้านในแบบซาตินที่ด้านบน

 

Fil dOr Louis Erard x Wire Art Micromechanical Embroidery Dial 1

 

พร้อมขอบเหลี่ยมขัดเงาแบบไดมอนด์ และรูปทรงดาบอันเป็นเอกลักษณ์ ใช้งานคู่กับสายหนังสีเบจตามสไตล์ของ LOUIS ERARD อีกทั้งเส้นทองคำจำนวน 229,680 เส้นที่ถักทอลงในนาฬิการุ่นพิเศษที่ผลิตในแบบจำนวนจำกัดเพียง 99 เรือนทั่วโลก โดยนาฬิกา LOUIS ERARD x WIRE ART รุ่น Fil d’Or ใน Ref. 34248AA52.BVA158 จะมีราคาจำหน่ายที่เรือนละ 209,000 บาท โดย PMT The Hour Glass ณ บูติคนาฬิกา LE’ ATELIER ศูนย์การค้าสยามพารากอน ประเทศไทย

 

 

 

 

Screenshot 2568 12 05 at 16.41.10