Le Régulateur Grand Feu Enamel
LOUIS ERARD เปิดตัวนาฬิการุ่น Le Régulateur ที่เป็นนาฬิการุ่นเอกลักษณ์สำคัญของแบรนด์ ที่พร้อมนำเสนอเป็นครั้งแรก กับหน้าปัดเทคนิคกรองฟูว์อีนาเมลแบบดั้งเดิม ในตัวเรือนที่โดดเด่นและผสมผสานกันอย่างลงตัว ระหว่างงานหัตถศิลป์และการผลิตนาฬิการ่วมสมัยชั้นเลิศ ในตัวเรือนสตีลขัดเงาขนาด 39 มิลลิเมตร พร้อมหน้าปัดสีงาช้างที่รังสรรค์ขึ้นจาก DONZÉ CADRANS S.A. โรงงานที่มีฝีมือชั้นเลิศจากประสบการณ์ด้านการผลิตงานเทคนิคนี้มาอย่างยาวนาน
พร้อมการพิมพ์มาร์กเกอร์แสดงค่าเวลาชั่วโมงและชุดวินาที ณ ตำแหน่ง 12 และ 6 นาฬิกาตามลำดับ ที่ช่วยเพิ่มความสง่างามเป็นพิเศษให้กับหน้าปัด พร้อมการเน้นรายละเอียดด้วยเทคนิคการเคลือบสีทูโทน ที่ทำให้ตัวเลขมีน้ำหนักเบา ละเอียด และต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นได้ถึงอัตลักษณ์ร่วมสมัยของแบรนด์ โดย Le Régulateur Grand Feu Enamel จะผลิตในแบบจำนวนจำกัดเพียง 99 เรือน กับการหวนคืนสู่แก่นแท้ของงานฝีมือดั้งเดิม ที่หาไม่ได้ในตลาดกับระดับราคานี้
จากแนวคิดของ LOUIS ERARD ที่เริ่มต้นการเดินทางอันน่าทึ่ง โดยเผชิญกับความท้าทายทั้งทางด้านเทคนิคและศิลปะ จากการร่วมมือกันกับ DONZÉ CADRANS S.A. ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกในงานด้านนี้มาตั้งแต่ปี 1972 ที่มีความสามารถในการใช้สีเคลือบ แบบงาช้างที่มีสูตรและส่วนผสมที่แม่นยำ สะท้อนให้เห็นถึงการแสวงหาความสมบูรณ์แบบ อย่างไม่เปลี่ยนแปลงของผู้ผลิตที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน รวมทั้ง LOUIS ERARD ที่มุ่งแสวงหาความพิเศษมาโดยตลอด
โดยอีนาเมลถือเป็นวัสดุ ที่ประกอบด้วยแร่ธาตุหลายชนิด จากส่วนผสมที่ถูกทำให้เป็นแก้ว ด้วยกระบวนการแนวฟิวชั่น ที่เกิดขึ้นในเตาอบ ณ อุณหภูมิระดับสูงประมาณ 800°C ที่เป็นที่มาของชื่อกรองฟูว์ (Grand Feu) เพื่อให้ได้พื้นผิวที่ราบเรียบและสม่ำเสมอ จึงจะต้องเคลือบหลายครั้งและหลายรอบ จากการทำงานกับวัสดุอย่างอีนาเมล ที่ถือเป็นงานที่ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่ง โดยต้องผ่านการฝึกฝนในช่วงเวลาหลายปี ในการทำงานกับวัสดุที่มีความไม่แน่นอน และโดยมากก็คาดเดาไม่ได้
ซึ่งหมายความว่าแม้ช่างฝีมือจะมีความเชี่ยวชาญ แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงออกมาได้อย่างไม่แน่นอน จากการเผาแต่ละครั้งที่อาจส่งผลให้เกิดความไม่สมบูรณ์แบบ เช่น ความหยาบ รอยแตก ฟองอากาศ และการเปลี่ยนสีที่คาดคิดไม่ถึง ดังนั้นโดยเฉลี่ยแล้วจึงจำเป็น ต้องผ่านกระบวนการเคลือบในระดับ 5 ถึง 7 ชั้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ นอกจากนี้การพิมพ์บนหน้าปัดยังใช้สีจากอีนาเมลเช่นกัน โดยหลอมรวมกันจากการเผารอบสุดท้าย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้อธิบายได้ง่ายว่า
ทำไมเทคนิคและกระบวนการในการทำงาน ของอีนาเมลนี้จึงหาได้ยากมาก ต่างจากหน้าปัดแบบเดิมๆ ที่จะมีการซีดจางแลหายไปได้ตามกาลเวลา ซึ่งแตกต่างจากสีของหน้าปัดเทคนิคอีนาเมล ที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปแม้ผ่านกาลเวลาไปนับร้อยปีแล้วก็ตาม นั่นทำให้นาฬิกา LOUIS ERARD ใน Ref. 85248AA54.BVA153 ที่มีราคาค่าตัวที่ 4,500 สวิสฟรังก์ในสวิตเซอร์แลนด์ ถือว่าไม่สูงเลยเมื่อเทียบกันกับแบรนด์นาฬิกาอื่นๆ ที่ใช้งานการผลิตจากแหล่งผลิตเดียวกัน
นอกจากนี้เทคนิคการผลิตอีนาเมลกรองฟูว์ ยังมีเอกสิทธิ์โดยธรรมชาติและมีปริมาณที่จำกัด ซึ่งถือเป็นการท้าทายด้านการผลิตในจำนวนมากๆ จากหน้าปัดแต่ละชิ้นที่จะได้รับการสร้างสรรค์ ขึ้นด้วยมืออย่างพิถีพิถัน และแตกต่างจากบรรทัดฐาน ทางด้านการผลิตในแนวอุตสาหกรรม ด้วยเหตุนี้หน้าปัดแบบอีนาเมลในนาฬิกาทุกเรือน จึงถือได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยผสานรวมจิตวิญญาณแห่งงานฝีมือเข้าไว้กับชิ้นงานนั้นๆ ที่รวมกันทำให้เทคนิคนี้กลายเป็นสัญลักษณ์
ของอุดมคติทางศิลปะและความโรแมนติคในด้านการผลิต โดยเป็นการยกระดับให้นาฬิกาที่มีหน้าปัด ที่เลือกใช้เทคนิคนี้ กลายเป็นความหรูหราพร้อมกับการได้รับความยกย่อง จากกระบวนการผลิตที่ยากยิ่ง ที่ต้องการความประณีตในระดับสูง อย่างไรก็ตาม LOUIS ERARD ก็สามารถทะลายกำแพงความพิเศษนี้ โดยนำเสนอให้กับผู้คนในวงกว้าง กับระดับราคาที่ไม่มีใครเทียบได้ จากแนวคิดการรวบรวมความเชี่ยวชาญ และความพิเศษระดับตำนาน ที่มีมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษสู่นาฬิกาของ LOUIS ERARD
พร้อมกระจกแซฟไฟร์ทรงโดม ที่ผ่านการเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนทั้งสองด้าน และให้ความสามารถในการกันน้ำที่ระดับ 5 บาร์ หรือ 50 เมตร/165 ฟุต กับเข็มแสดงค่าเวลาทรงเฟอร์ธรี อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ที่เป็นแบบบลูด์สตีลในสีน้ำเงินจากการเผาด้วยความร้อนสูง ใช้งานคู่กันกับสายรัดหนังลูกวัวลายเกรน และเย็บแบบไล่โทนสี พร้อมซับด้านหลังด้วยหนังลูกวัวลายเกรนสีดำ กับชุดล็อคแบบหัวเข็มขัด ทำงานด้วยกลไก SELLITA คาลิเบอร์ SW266-1 ที่มอบพลังสำรองลานนานประมาณ 38 ชั่วโมง