นวัตกรรมและวัสดุศาสตร์ในแบบเฉพาะของ RADO
RADO เป็นแบรนด์นาฬิกาที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก โดยมีชื่อเสียงในด้านการออกแบบ นวัตกรรมต่างๆ และการปฏิวัติการใช้วัสดุ เพื่อสร้างสรรค์เป็นนาฬิกาที่สวยที่สุด พร้อมความทนทานเป็นที่สุด นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นในเมืองเลงนาว ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ RADO ยึดมั่นในปรัชญาของแบรนด์ที่ว่า “ถ้าสามารถจินตนาการได้ ก็สามารถสร้างขึ้นมาได้” ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ในนาฬิกาทุกเรือนจาก RADO
ในปี 1917 จากโรงงานผลิตนาฬิกา SCHLUP&CO. ที่ก่อตั้งขึ้นโดยพี่น้อง Fritz, Ernst และ Werner ในแบบเรียบง่ายในพื้นที่บ้านของพวกเขา จนได้รับการดัดแปลงและกลายเป็นบ้านเกิดของ RADO รวมทั้งการประสบความสำเร็จจนกลายเป็นหนึ่งในโรงงานผลิตนาฬิกา ที่ใหญ่ที่สุดในโลกช่วงสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2
ปี 1950-1959 โรงงาน SCHLUP&CO. เริ่มการขายนาฬิกาภายใต้ชื่อแบรนด์ RADO โดยมีนาฬิกาคอลเลคชั่น Golden Horse เป็นรุ่นเด่นกับความสามารถพิเศษด้านการกันน้ำ จนสามารถจำหน่ายออกสู่ตลาดต่างประเทศได้กว่า 61 แห่งทั่วโลก
ในปี 1960-1969 RADO ก็สร้างความแตกต่างในตลาดขึ้น ด้วยนาฬิกาคอลเลคชั่น DiaStar 1 กับคุณสมบัติการกันรอยขีดข่วนรุ่นแรกของโลก นอกจากนี้ยังสามารถสวมใส่ได้อย่างสบาย มีความทนทาน รวมทั้งสไตล์ที่โดดเด่น จากการนำโลหะแข็งและกระจกแซฟไฟร์มาหลอมรวมกัน
ในปี 1970-1989 การออกแบบและนวัตกรรมด้านวัสดุศาสตร์ของ RADO ยังคงมีนำเสนออย่างต่อเนื่อง โดยมีนาฬิกาคอลเลคชั่น DiaStar ในแบบสีทองนำเสนอออกสู่ตลาด ตามมาด้วยนาฬิกาคอลเลคชั่น Dia 67 ที่เรียบง่ายและมีจุดเด่นในเรื่องโครงสร้างตัวเรือนแบบคริสตัลแซฟไฟร์ไร้ขอบ จนกระทั่งถึงนาฬิกาคอลเลคชั่น Integral ที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตนาฬิกา ด้วยการใช้ไฮเทคเซรามิคผลิตเป็นสายนาฬิกา และทำให้นาฬิกาคอลเลคชั่นนี้ ปราศจากรอยขีดข่วนในทุกจุดของนาฬิกา
ปี 1990-1999 RADO คอลเลคชั่น Ceramica ทำให้โลกได้เห็นถึงตัวเรือนนาฬิกาในแบบบูรณาการ ที่ต่อยอดจากไฮเทคเซรามิค ตามด้วยคอลเลคชั่น Sintra ที่มีตัวเรือนผลิตจากเซอร์เมท ซึ่งเป็นเซรามิคที่ใช้ไทเทเนียมเป็นวัสดุผสมหลัก เพื่อหลอมรวมกับโลหะต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการใช้พลาสม่าไฮเทคเซรามิคกับนาฬิกาคอลเลคชั่น Ceramica อีกครั้ง เพื่อให้นาฬิกามีสีสันที่พิเศษและเปล่งประกายแสงมากยิ่งขึ้น
ในปี 2000-2009 eSenza เป็นนาฬิกาจาก RADO คอลเลคชั่นแรกมีชุดกลไกที่ไร้เม็ดมะยม รวมทั้งนาฬิกาคอลเลคชั่น V10K ที่ผลิตตัวเรือนขึ้นจากเพชรโดยมีความแข็งที่ระดับ 10,000 วิกเกอร์ และมีความยืดหยุ่นในแบบเพชรแท้ครบทุกประการ จนถึงการเปิดตัว r5.5 ที่ถือเป็นผลงานชิ้นเอกด้านการออกแบบของ RADO ที่เป็นผลิตผลจากนักออกแบบชาวอังกฤษชื่อดัง Jasper Marrison
ปี 2010-ปัจจุบัน True Thinline เป็นบทพิสูจน์ความสามารถด้านการคิดค้นและผลิตของ RADO ที่ทำให้ตัวเรือนสามารถมีความบางได้ถึงระดับ 5 มิลลิเมตร จนถึงนาฬิกาคอลเลคชั่นในแบบสปอร์ตชิค HyperChrome ที่สร้างตัวเรือนขึ้นในแบบชิ้นเดียวและไม่ต้องใช้สตีลเป็นแกนกลาง นอกจากนี้ยังมี Esensa Touch ที่ใช้การสัมผัสในการตั้งเวลา รวมทั้งนาฬิกาคอลเลคชั่น HyperChrome Dual Timer ที่สามารถเปลี่ยนเวลาไทม์โซนได้ด้วยการสัมผัส จนถึงการนำเสนอนาฬิกาที่ผลิตจากไฮเทคเซรามิคสีช็อคโกแลต ที่ถือเป็นอีกหนึ่งในความสำเร็จของ RADO ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน