Rado DiaMaster Petite Seconde Automatic COSC

พลาสม่าไฮเทคเซรามิค ถือเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของงานทางด้านวัสดุศาสตร์ โดยเป็นการนำเซรามิคสีขาวผ่านกระบวนการเพิ่มปริมาณคาร์บอนด้วยพลาสม่า จนได้เป็นวัสดุที่เงางามแบบเมทาลิค โดยปราศจากการใช้โลหะเป็นส่วนผสม อีกทั้งยังเป็นวัสดุที่สะท้อนดีเอ็นเอของแบรนด์ได้อย่างเด่นชัด จนกลายเป็นหนึ่งภาพลักษณ์ที่ขาดไม่ได้ นับตั้งแต่มีการนำเสนอสู่ตลาดครั้งแรกในปี 1998 จนมาถึงล่าสุดในตัวเรือนของ Rado DiaMaster Petite Seconde Automatic COSC รุ่นใหม่ในปี 2018 นี้ด้วยเช่นกัน

Rado DiaMaster Petite Seconde Automatic COSC Silver

นาฬิกาเรือนนี้จึงเป็นเรือนเวลายูนิเซ็กซ์ ที่หยิบความท้าทายของพลาสม่าไฮเทคเซรามิค ซึ่งมีความบางเบา แต่แข็งแกร่ง รวมทั้งทนทานต่อรอยขีดข่วนเป็นเลิศ มาผสมผสานกับวัสดุที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นอย่างซิลิคอน ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ในการผลิตแฮร์สปริงในชุดกลไก หนึ่งในชิ้นส่วนสำคัญที่ส่งผลให้เรือนเวลารุ่นนี้ผ่านการรับรองความเที่ยงตรงตามมาตรฐาน COSC ระดับโลก

Rado DiaMaster Petite Seconde Automatic COSC Blue

Rado DiaMaster Petite Seconde Automatic COSC ผลิตตัวเรือนจากพลาสม่าไฮเทคเซรามิคขัดเงาขนาด 43 มิลลิเมตร พื้นหน้าปัดกลมเรียบง่ายตามแบบมินิมอลลิสท์ มีให้เลือก 2 เฉดสี ทั้งหน้าปัดสีเงิน (Ref. 773.6053.3.401) และหน้าปัดสีน้ำเงิน (Ref. 773.6053.3.420) มาพร้อมช่องแสดงวันที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา และหน้าปัดย่อยแสดงวินาทีตำแหน่ง 6 นาฬิกา สำรองพลังงานได้นานถึง 80 ชั่วโมง และกันน้ำลึกได้ 50 เมตร จับคู่กับสายหนังจระเข้สีดำ ทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติ ETA C07.881 ที่ผ่านการรับรองความเที่ยงตรง ระดับโครโนมิเตอร์ตามมาตรฐาน COSC ที่กำหนดให้มีค่าความคลาดเคลื่อนของเวลาไม่เกิน -4/+6 วินาทีในแต่ละวัน ซึ่งมีเพียง 6% ของนาฬิกาที่ผลิตจากสวิสเซอร์แลนด์เท่านั้น ที่จะผ่านบททดสอบที่แสนเข้มงวดนี้ โดยหัวใจหลักของความสำเร็จของกลไกชุดนี้ คงหนีไม่พ้นชิ้นส่วนสำคัญอย่างแฮร์สปริง ที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะของกลไก ให้สามารถทนทานต่อแรงกระแทกที่เกิดขึ้นปกติในชีวิตประจำวัน ทั้งยังรักษาความแม่นยำให้อยู่ในระดับสูงสุดอีกด้วย โดยทั้งสองเฉดสีจะมีราคาจำหน่ายที่ 82,800 บาท

 

Rado DiaMaster Petite Seconde Automatic COSC 1

 

Rado DiaMaster Petite Seconde Automatic COSC 2