Possession Palace Décor by PIAGET
PIAGET ฉีกความท้าทายครั้งใหม่ของเมซงโดยการส่งมอบหัตถศิลป์ของแบรนด์ สู่กำไลข้อมือในดีไซน์ที่แปลกตากว่าที่เคย ซึ่งผ่านการตีความมาอย่างสร้างสรรค์ ทั้งยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ตามแบบฉบับของเมซง จากรากเหง้าของแบรนด์และคาแรคเตอร์ด้านงานดีไซน์ที่ทำออกมาได้อย่างเด่นชัดตั้งแต่แรกเห็น ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ด้านการทำทองที่บ่มเพาะมาอย่างยาวนาน,น้ำหนักของวัสดุในสัดส่วนที่ออกแบบมาอย่างสมดุล, หินสีที่นิยมหยิบมาคอนทราสท์กับประกายทองของเครื่องประดับ, รูปแบบการฝังเพชรเม็ดกลางกับสไตล์ที่เป็นซิกเนเจอร์, วงขอบตัวเรือนด้านนอกทั้งสองด้าน ไปจนถึงกิมมิกที่เป็นไฮไลท์อย่างวงแหวนที่หมุนได
การส่งต่อสไตล์ที่โดดเด่นไปยังไลน์โปรดักส์ใหม่นี้โดยที่ยังคงคอนเซ็ปท์และคาแรคเตอร์ไว้ ถือเป็นการผสมผสานตัวตนที่เด่นชัดในอดีต เข้ากับความน่าตื่นเต้นครั้งใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม ผลงานที่ได้จึงสะท้อนให้เห็นถึงดีเทลอันซับซ้อน ที่เมซงตั้งใจสอดแทรกลงบนชิ้นงานอย่างพิถีพิถัน ขณะเดียวกันสัมผัสเมื่อสวมใส่ก็ยังส่งมอบความรู้สึกที่หลากหลาย สร้างความประทับใจได้ตั้งแต่วินาทีแรก ทั้งยังชวนให้ดื่มด่ำในหัตถศิลป์ที่แต่งแต้มอย่างประณีตโดยเหล่าช่างฝีมือพร้อมขนาดที่พอเหมาะที่ให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับการครีเอทสไตล์ด้วยกลิ่นอายบางส่วนที่ชวนให้นึกถึงยุค 90s ไปจนถึงดีไซน์ที่ผสานไอเดียแสนขบถไว้อย่างลงตัว
กำไลข้อมือจากคอลเลคชั่น Possession ล่าสุดนี้มีให้เลือกถึง 3 เวอร์ชั่น ทั้งแบบตัวเรือนไวท์โกลด์และโรสโกลด์โดยทุกสไตล์จะมาพร้อมกิมมิกวงแหวนหมุนได้ขนาดเล็ก ซึ่งตกแต่งดีเทลแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น อาทิ การประดับเพชร 1 เม็ดบนแบนด์กลางตัวเรือน ก่อนขนาบข้างด้วยดีเทลของเพชรแถวเดี่ยวทั้ง 2 ข้างที่สำคัญลวดลายจากเทคนิค Palace Décor นี้จะสร้างความโดดเด่นให้กับชิ้นงานเป็นอย่างมาก เพราะเมซงได้สอดแทรก ดีเทลเหล่านี้ลงไปบนองค์ประกอบที่หลากหลาย ทั้งที่ตัวเรือนหลักและวงแหวนหมุนได้ นอกจากนี้ยังมีกลไกเปิดปิดที่แยบยล ด้วยการซุกซ่อนสปริงขนาดจิ๋วไว้ด้านในอีกด้วย
จากทิศทางของ PIAGET ภายใต้การดูแลของ Benjamin Comar ในฐานะซีอีโอ ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าเขาสามารถเดินหน้าพัฒนาเมซงได้อย่างเต็มกำลังและรอบด้านในระยะเวลาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา โดยหนึ่งในเป้าหมายหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กร ณ พื้นที่โรงงาน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชานเมืองของเจนีวาโดยเบื้องหลังของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพื่อต้องการเพิ่มกำลังการผลิตและส่งมอบสถานที่ที่สามารถสร้างสรรค์ชิ้นงานจิวเวลรี่ใหม่ๆ ได้แบบครบวงจรซึ่งนับเป็นความท้าทายอย่างแท้จริงที่พวกเขาสามารถจัดการได้ทันเวลา เพื่อเตรียมฉลองครบรอบ 150 ปีของเมซงในฤดูใบไม้ผลิปี 2024 ที่กำลังจะมาถึงนี้
เพราะสำหรับ PIAGET แล้ว ความเชี่ยวชาญของเหล่าช่างฝีมือเก่าแก่ที่หาไม่ได้ที่ไหนในโลก คือหนึ่งในคีย์แห่งความสำเร็จที่เมซงภาคภูมิใจ แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างก็มีข้อจำกัดในตัวเอง ดังนั้นการเร่งหาหนทางเพื่อสนับสนุนทักษะเหล่านี้ให้ส่งต่อไปยังเจนเนอเรชั่นถัดไป หรือแม้แต่การเฟ้นหาเหล่าผู้เชี่ยวชาญหน้าใหม่ที่กล้านำเสนอไอเดียนอกกรอบ แต่ยังคงไว้ซึ่งดีเอ็นเอของแบรนด์ จึงเป็นสิ่งที่เมซงไม่ได้นิ่งนอนใจ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ต้องจับตา เหมือนกับเมื่อครั้งที่คาแรคเตอร์ที่เคยปรากฎให้เห็นจนคุ้นตาบนไฮจิวเวลรี่ ถูกนำไปถอดรหัสสู่ชิ้นงานใหม่จนสามารถพบเห็นทั่วไปในชีวิตประจำวัน
ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ แบรนด์จึงได้หยิบแรงบันดาลใจมาจากเพลง Fly Me to the Moon อันโด่งดังของ Frank Sinatra เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้กับทีมเพื่อให้สามารถพิชิตเป้าหมายที่ตั้งใจให้ได้ เพราะหากมองย้อนกลับไปในปี 1874 แม้ขณะนั้น PIAGET จะเป็นเพียงโรงงานผลิตชิ้นส่วนกลไก แต่แบรนด์ก็แทบไร้คู่ต่อสู้ เพราะทุกชิ้นส่วนและกลไกคุณภาพสูงที่พัฒนาขึ้น ล้วนถูกกว้านซื้อโดยบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำ เพื่อนำไปรังสรรค์เรือนเวลาของตนเองทั้งสิ้น จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ เหล่านั้นผนวกกับความกระตือรือร้นของเหล่าช่างฝีมือที่ต้องการถ่ายทอดทักษะอันเชี่ยวชาญและความความคิดนอกกรอบลงบนชิ้นงานใหม่ๆ
ผลงานจิวเวลรี่ของเพียเจต์จึงค่อย ๆ เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือไอคอนนิคไอเท็มจากคอลเลคชั่น Possession อย่างกำไลข้อมือที่โดดเด่นด้วยการผสมผสานทั้งเทคนิค รูปแบบการนำเสนอ และไอเดียที่แสนขบถของเมซงไว้ด้วยกัน ผลงานทุกชิ้นถูกคำนวนอย่างละเอียดรอบคอบ ทั้งยังขัดแต่งด้วยความเชี่ยวชาญขั้นสูง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่เต็มไปด้วยความกลมกล่อมทั้งในแง่สัมผัสและสัดส่วนที่เป็นเลิศให้กับผู้สวมใส่นั่นเองรวมไปถึงการนำเอา Palace Décor มาถอดรหัสลงบนชิ้นงานในคอลเลกชั่น Possession ซึ่งถือเป็นเซอร์ไพรส์ที่ทุกคนคาดคิดไม่ถึงรวมทั้งเป็นการพลิกโฉมของ Possession ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด