PARMIGIANI เปิดตัวเอดิชั่นหน้าปัดแบบ ‘Galaxy’ บนเรือนนาฬิกา Tonda สามรุ่น
“อเวนทูรีน” ลักษณะของแก้วที่มีเศษโลหะฝังอยู่ในเนื้อแก้วนั้น เป็นอีกรูปแบบวัสดุหนึ่งที่แบรนด์นาฬิกาชั้นเลิศมักนำมาใช้ทำหน้าปัดของนาฬิกา เนื่องด้วยความงามแปลกตาที่ไม่เหมือนวัสดุชนิดอื่นๆ แต่ด้วยความยากในการสร้างชิ้นงานให้เกิดความสวยงาม หลายต่อหลายแบรนด์จึงเลือกผลิตงานหน้าปัดชนิดนี้ในนาฬิการุ่นพิเศษหรือล็อตพิเศษที่ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดหรือในจำนวนไม่มากนัก และล่าสุดในปี 2017 นี้ ทาง PARMIGIANI FLEURIER (พาร์มิเจียนี่ เฟลอริเยร์) ก็เลือกนำวัสดุชนิดนี้มาใช้กับนาฬิการุ่นต่างๆ ของตนในตระกูลคอลเลคชั่นยอดนิยมอย่าง Tonda (ทอนดา) แล้ว
แก้ว “อเวนทูรีน” เป็นการตกแต่งรูปแบบหนึ่งของแก้วที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ จากการที่ช่างเป่าแก้วใน มูราโน ประเทศอิตาลี คนหนึ่งเมื่อสมัยศตวรรษที่ 18 ได้เผลอทำเศษทองแดงหล่นผสมเข้าไปในแก้วที่กำลังหลอม เขาจึงตั้งชื่อรูปแบบของแก้วนี้ว่า อเวนทูรีน ซึ่งในภาษาอิตาเลี่ยนหมายความประมาณว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ จากนั้นความบังเอิญนี้ก็สร้างความงดงามในรูปแบบใหม่ให้กับเครื่องแก้ว
ลักษณะของหน้าปัด “อเวนทูรีน” ที่ PARMIGIANI นำมาใช้ ถูกสร้างสรรค์ให้เป็นแก้วสีน้ำเงินเข้ม มิดไนท์บลู อันงามล้ำลึกที่มีเศษทองแดงฝังกระจายอยู่ ซึ่งให้อารมณ์เหมือนกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยประกายของหมู่ดาวในยามค่ำคืน อันเป็นที่มาของชื่อเรียกขานนาฬิกาซีรี่ส์หน้าปัดนี้ว่า “Galaxy” โดยรุ่นแรกที่เผยโฉมออกมาให้เห็นกันก่อน ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมก็คือ รุ่น Tonda 1950 Galaxy ‘Special Edition’ นาฬิกาเดรสหรูเรือนบางตัวเรือนโรสโกลด์ กลไกอัตโนมัติขึ้นลานด้วยโรเตอร์ขนาดเล็ก ซึ่งแสดงเวลาด้วยเข็มชั่วโมงกับนาทีเพียง 2 เข็ม เพื่อเปิดพื้นที่ให้ลักษณะของ กาแล็กซี เปล่งประกายความงามได้อย่างเต็มที่ จากนั้นก็ตามมาอีกระลอกใหญ่ในเดือนธันวาคมด้วย Tonda 1950 Galaxy ‘Special Edition’ ที่ใช้ตัวเรือนและสายวัสดุโรสโกลด์ และรุ่นน้องตระกูล Tonda Métropolitaine ซึ่งเป็นนาฬิกาเดรสหรูสไตล์โมเดิร์นในแบบตัวเรือนวัสดุสตีลขัดเงาสำหรับคุณผู้หญิง อีก 2 รุ่น อันได้แก่ Tonda Métropolitaine Galaxy กับ Tonda Metropolitaine Selene Galaxy โดยทุกรุ่นจะเป็นนาฬิกาที่มีการประดับเพชรอยู่บนวงขอบตัวเรือน
Tonda 1950 Galaxy ‘Special Edition’
เต็มความรู้สึกกับ กาแล็กซี ในตัวเรือนทองคำโรสโกลด์สุดหรู
นาฬิกาเดรสหรูเรือนบางรุ่นดัง Tonda 1950 ในแบบ “สเปเชี่ยล เอดิชั่น” หน้าปัดแบบ กาแล็กซี รุ่นนี้ มาในตัวเรือนโรสโกลด์ขัดเงาที่ประดับด้วยเพชร 84 เม็ด น้ำหนักรวม 0.6460 กะรัต บนวงขอบตัวเรือน ทั้งยังมีการประดับโอปอลสีขาวขุ่นดุจน้ำนมบนเม็ดมะยมซึ่งดีไซเนอร์ของแบรนด์ต้องการสื่อถึงลักษณะของกลุ่ม “เนบิวลา” ซึ่งเป็นกลุ่มก๊าซสีขาวในอวกาศอีกต่างหาก โดยจะมีทั้งแบบที่จับคู่มากับสายหนังจระเข้สีดำซึ่งผลิตโดย Hermès และแบบที่ใช้สายวัสดุโรสโกลด์
กลไกที่ใช้กับรุ่นนี้เป็นเครื่องอินเฮ้าส์ ขึ้นลานด้วยโรเตอร์ขนาดเล็ก ความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง กำลังสำรอง 48 ชั่วโมง คาลิเบอร์ PF702 ซึ่งแสดงเวลาด้วยเข็มชั่วโมงกับนาทีสีโรสโกลด์เคลือบสารเรืองแสงเพียงแค่ 2 เข็ม เพื่อเปิดพื้นที่ให้เป็นส่วนของพื้นหน้าปัดอย่างเต็มที่ ขณะที่ชิ้นหลักชั่วโมงนั้นเป็นวัสดุโรสโกลด์ 18 เค บรรจุมาในตัวเรือนขนาด 39 มม. ที่มีความหนาเพียง 8.4 มม. เช่นเดียวกับ Tonda 1950 ตัวเรือนทองคำเวอร์ชั่นอื่นๆ ส่วนฝาหลังที่ผนึกด้วยกระจกแซฟไฟร์นั้น จะมีการสลักข้อความ “EDITION SPECIALE” บ่งบอกความพิเศษอยู่บนวงขอบด้วย
Tonda Métropolitaine Galaxy
สำหรับคุณผู้หญิงที่หลงใหลในหมู่ดาวยามค่ำคืน
นาฬิกา Tonda Métropolitaine ตัวเรือนสตีล ขนาด 33.1 มม. หนา 8.65 มม. เอดิชั่นนี้ มาพร้อมกับเพชรจำนวน 72 เม็ด น้ำหนักรวมราว 0.5 กะรัต ประดับอยู่บนขอบตัวเรือนล้อมรอบพื้นหน้าปัด อเวนทูรีน ที่ติดตั้งด้วยชิ้นหลักชั่วโมงวัสดุไวท์โกลด์ 18 เค ขณะที่รูปแบบการแสดงค่านั้นยังคงมอบเข็มวินาทีขนาดเล็กมาให้ในวงหน้าปัดขนาดเล็กพื้นสีน้ำเงินเข้มที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา พร้อมเจาะช่องแสดงวันที่เอาไว้ โดยใช้พื้นจานวันที่เป็นสีน้ำเงินที่มีโทนเข้มขึ้นมากว่าพื้นหน้าปัดอีกระดับ และใช้เข็มชั่วโมงกับนาทีแบบฉลุโปร่งเพื่อให้มองทะลุเห็นพื้นหน้าปัดได้ โดยเป็นการขับเคลื่อนจากการทำงานของกลไกอัตโนมัติ อินเฮ้าส์ คาลิเบอร์ PF310 ความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง กำลังสำรอง 50 ชั่วโมง เช่นเดียวกับเวอร์ชั่นปกติของรุ่นนี้ ซึ่งสามารถมองเห็นงานขัดแต่งอันสวยงามได้ผ่านทางกระจกแซฟไฟร์บนฝาหลัง ส่วนสายที่ให้มาจะมีให้เลือกระหว่างสายหนังจระเข้สีน้ำเงิน กับสายผ้าสีน้ำเงินคราม
Tonda Métropolitaine Selene Galaxy ‘Special Edition’
เรือนเวลาสำหรับคุณผู้หญิงที่เติมความสมบูรณ์แบบให้ท้องฟ้ายามราตรีด้วยดวงจันทรา
หากคุณผู้หญิงท่านใดที่ต้องการภาพอันสมบูรณ์ของท้องฟ้ายามราตรี นาฬิกาเรือนสตีลฟังก์ชั่นมูนเฟสรุ่นนี้คงเป็นคำตอบได้อย่างดีที่สุด เพราะฟังก์ชั่นมูนเฟสที่เพิ่มเข้ามาในรูปแบบช่องหน้าต่างในวงหน้าปัดขนาดเล็กพื้นสีน้ำเงินเข้มตำแหน่ง 12 นาฬิกานั้นช่างเหมาะเจาะกับธีมกาแล็กซี ของพื้นหน้าปัดเสียเหลือเกิน
หน้าตาโดยรวมยังคงดูไม่แตกต่างจากรุ่น Tonda Métropolitaine Galaxy นอกจากรายละเอียดปลีกย่อยอย่างชิ้นหลักชั่วโมงกับเข็มและขอบวงหน้าปัดขนาดเล็กซึ่งรุ่นนี้ใช้เป็นสีโรสโกลด์เพื่อให้เข้ากับโทนสีทองของดวงพระจันทร์ ส่วนขนาดของตัวเรือน 33.2 มม. พร้อมเพชรบนขอบตัวเรือน 72 เม็ด น้ำหนักรวม 0.51 กะรัต ก็แทบจะเรียกได้ว่าเท่าๆ กัน แต่ต่างกันที่มีความหนาเป็น 9.6 มม. เนื่องจากโมดูลของฟังก์ชั่นมูนเฟสที่เพิ่มเข้ามานั่นเอง นอกจากนี้ยังมีการบ่งบอกความพิเศษด้วยข้อความสลัก “EDITION SPECIALE” อยู่บนขอบฝาหลัง ส่วนสายนาฬิกานั้นจะให้มาเป็นแบบวัสดุผ้าสีน้ำเงิน
กลไกที่ใช้กับเอดิชั่นนี้ก็ยังคงเป็นคาลิเบอร์ PF318 กลไกอินเฮ้าส์ ขึ้นลานอัตโนมัติ ความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง กำลังสำรอง 50 ชั่วโมง แสดงวินาทีด้วยเข็มขนาดเล็กพร้อมฟังก์ชั่นวันที่และฟังก์ชั่นมูนเฟส เหมือนๆ กับเวอร์ชั่นปกติของ Tonda Métropolitaine Selene
By: Viracharn T.