OMEGA เปิดตัวนาฬิกาใหม่ในงาน Baselworld 2018
By: Dr. Pramote Rienjaroensuk
เปิดตัวเป็นทางการอย่างเช่นเคยในงาน Baselworld ปีนี้ และนี่คือนาฬิกาเรือนล่าสุดจาก Omega หนึ่งในแบรนด์นาฬิกายอดนิยมของคนทั่วโลก
Speedmaster “Dark Side of the Moon” Apollo 8
ในปี 1968 ทีมสำรวจอวกาศของยานอพอลโล่ 8 ถือเป็นมนุษย์อวกาศชุดแรกในโลกที่ได้สัมผัสกับด้านมืดของพระจันทร์ ดังนั้น 50 ปีต่อมา Omega จึงสร้างนาฬิกากลไกจับเวลาเพื่อเชิดชูภาระกิจของพวกเขาในครั้งนั้น การเผยให้เห็นกลไกภายใต้หน้าปัดนาฬิกาในครั้งนี้นับเป็นความพิเศษอีกครั้งหนึ่งกับนาฬิการุ่น Speedmaster ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้คนทั่วโลก สายหนังสีดำประกบคู่กับสายยางสีเหลืองด้านล่างพร้อมเส้นด้ายที่เย็บด้วยเหลืองเข้าคู่กับสีเหลืองที่มองเห็นได้จากรูที่เจาะลงบนผืนหนังตามสไตล์นาฬิกาในยุกบุกเบิกอวกาศของอพอลโล่ 8 ตัวเรือนผลิตจากเซรามิคสีดำคู่กับหน้าปัดแบบสเกเลตันที่เผยให้เห็นบางส่วนที่น่าสนใจของกลไกและพื้นผิวสีดำของดวงจันทร์บนแผ่นเพลทของกลไกไปพร้อมๆ กัน
นอกจากนี้เข็มในชุดของกลไกจับเวลายังถูกออกแบบให้เป็นสีเหลืองเข้าคู่กันกับคอมบิเนชั่นของสายนาฬิกา รวมทั้งตัวเลขสเกลแทคคีมิเตอร์บนขอบเบเซิลและตราสัญลักษณ์ Omega บนเม็ดมะยม ที่ฉาบสารเรืองแสงซุปเปอร์ลูมิโนว่าสีเหลืองไว้ รวมไปถึงคำว่าแทคคีมิเตอร์บนขอบเบเซิล และคำว่าสปีดมาสเตอร์บนหน้าปัดตัวเรือนก็ยังเป็นสีเหลืองเข้าคู่กันอีกด้วย
ตัวเรือนด้านหลังเป็นแบบโปร่งใสเพื่อให้มองเห็นกลไกการทำงานได้อย่างชัดเจน พิมพ์คำว่า “We’ll see you on the other side” ตามคำกล่าวสุดท้ายของ Jim Lovell ที่แจ้งไปยังหน่วยงานบนโลกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ยานจะต้องเคลื่อนตัวไปยังจุดที่ไกลที่สุดของพระจันทร์และสัญญาณรับไม่ถึง
(พร้อมออกจำหน่ายในเดือนสิงหาคม 2018)
Seamaster Diver 300M Collection
ตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมา Seamaster Diver 300M เป็นอีกหนึ่งในตำนานของนาฬิกาที่ประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้กับ Omega เป็นอย่างมาก โดยในปีนี้ ในโอกาสครบรอบ 25 ปี Omega จึงนำเสนอ Seamaster ใหม่นี้ภายใต้รูปแบบคลาสสิคเดิมทั้งหมดโดยมีการปรับปรุงในหลายส่วนให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ตัวเรือนขนาด 42 มิลลิเมตร พร้อมขอบเบเซิลเซรามิคและสเกลแบบเซราโกลด์TM หรือไวท์อีนาเมล กลไกอัตโนมัติคาลิเบอร์ 8800 ที่มีความเที่ยงตรง ทนทาน และสามารถป้องกันพลังจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ดียิ่งขึ้น หน้าปัดผลิตจากเซรามิคที่มีให้เลือกทั้งสีดำ สีน้ำเงิน และสีเงิน (พีวีดีสีโครม) พร้อมสัญลักษณ์ลายคลื่นอันโด่งดัง ประกบด้วยมาร์กเกอร์ที่เคลือบสารเรืองแสงซุปเปอร์ลูมิโนว่า เข้าคู่กับเข็มนาฬิกาที่มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยภายใต้ทรงและรูปแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมีเอสเคปเม้นท์ฮีเลี่ยมวาล์วยอดนิยมของนาฬิกาแบบดำน้ำ ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมและใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย
และยังมีการแนะนำนาฬิการุ่นผลิตจำนวนจำกัด 2,500 เรือน ตามแบบนาฬิกาที่ผลิตขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1993 ด้วยการเลือกใช้วัสดุแทนทาลัม ไทเทเนียม และเซดน่าโกลด์TM โดยสีสันของแทนทาลัมจะโดดเด่นเป็นพิเศษในข้อต่อลิ๊งค์ระหว่างเซดน่าโกลด์TM บนข้อต่อสาย
(พร้อมออกจำหน่ายในเดือนสิงหาคม 2018)
Seamaster 1948 Limited Editions
ปี 1948 ถือเป็นปีที่ Omega ได้นำเสนอนาฬิการุ่น Seamaster ออกสู่ตลาดอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ปีนี้จึงนับเป็นเวลาครบรอบ 70 ปีของการนำเสนอนาฬิการุ่นนี้สู่ตลาดโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยก่อนหน้านี้ ในระหว่างช่วงปี 1940 ถึง 1945 Omega ได้ส่งมอบนาฬิกาสองรุ่นนี้กว่า 110,000 เรือนให้กับกระทรวงกลาโหมของอังกฤษเพื่อใช้ในภาระกิจต่างๆ ที่ต้องการนาฬิกาที่มีคุณสมบัติทนทานและกันน้ำในสมรภูมิรบ ที่ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างสรรค์นาฬิการุ่น Seamaster นี้ในเวลาต่อมา
โดยปีนี้ Omega นำเสนอนาฬิกาสองรุ่นที่สร้างสรรค์ตามแบบนาฬิการุ่นดั้งเดิม ทั้งหน้าปัดแบบสตีลขัดด้าน เข็มนาฬิกาที่มีปลายโค้งรับกับหน้าปัด และวงแสดงเวลาวินาทีที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา พร้อมสายหนังสีน้ำตาล หรือจะเป็นรุ่นที่แสดงเข็มวินาทีกลางหน้าปัด พร้อมเข็มชั่วโมงและนาทีแบบดอลฟีนที่เคลือบสารเรืองแสงซุปเปอร์ลูมิโนว่า เข้าคู่กับสายหนังสีน้ำเงินเทาให้อารมณ์วินเทจ โดยมีการแกะสลักและลงแลคเกอร์ด้วยมือสัญลักษณ์การฉลองครบรอบ 70 ปีที่แสดงให้เห็นถึงยานพาหนะที่ใช้ในการรบทั้งทางน้ำและอากาศโดยรอยัลแอร์ฟอร์ซ
นาฬิกาทั้งสองแบบผลิตตัวเรือนจากสตีล ขัดขอบเบเซิลและเม็ดมะยมแบบเงา หน้าปัดสีเงินทรงโดม พร้อมประทับตราสัญลักษณ์ Omega สไตล์วินเทจบนหน้าปัด และมาพร้อมสายผ้านาโต้และอุปกรณ์สำหรับการเปลี่ยนสายด้วยตังเอง ผลิตจำนวนจำกัดแบบละ 1,948 เรือน
Seamaster 1948 Small Seconds
Seamaster 1948 Central Second
(พร้อมออกจำหน่ายในเดือนตุลาคม 2018)