Newest M.A.D. Editions

M.A.D. Editions นาฬิกาจาก MB&F ที่เกิดจากความคิดที่ว่า สมาชิกและเพื่อนสนิทหลายคน ไม่สามารถมีโอกาสได้เป็นเจ้าของนาฬิกา MB&F ได้ ทางแบรนด์จึงอยากจะสร้างสรรค์ผลงาน ที่มีเอกลักษณ์เช่นเดียวกัน แต่ในราคาที่เข้าถึงได้ ในปี 2021 ทางแบรนด์จึงตัดสินใจเปิดตัวผลงานจากความคิดนั้น ออกมาในรูปแบบของนาฬิการุ่นพิเศษ ที่ผลิตขึ้นในแบบจำนวนจำกัดเพียง 500 เรือน สำหรับซัพพลายเออร์ที่รู้จักกันดีในความหมายของ “เพื่อนๆ หรือ Friends” รวมทั้งลูกค้าที่สนับสนุนแบรนด์ตั้งแต่เริ่มต้น (The Tribe)

 

Screenshot 2568 12 13 at 23.04.44

 

โดยข้อมูลของ M.A.D. 1 ถูกส่งออกผ่านทางอีเมล ในแบบไม่มีแคมเปญโฆษณา และไม่มีการโพสท์บนโซเชียลมีเดีย มีเพียงแต่ข้อความขอบคุณสำหรับความไว้วางใจ และการสนับสนุนกันตลอดมา ซึ่งเพียงไม่กี่วันต่อมาสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็เกิดขึ้น นั่นคือภาพของนาฬิกาหลุดออกไปบนอินสตราแกรม และส่งต่อผ่านกลุ่มนักสะสมนาฬิกา ซึ่งต่างตื่นเต้นและให้ความสนใจว่าจะจริงหรือไม่ และก็ยังกลายเป็นนาฬิกาของแบรนด์นี้ ที่มีราคาที่เข้าถึงกันได้แต่ก็กลับยังไม่มีการวางจำหน่ายอีกเช่นกัน

 

Screenshot 2568 12 13 at 23.16.03

 

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา Maximilian Büsser ผู้ก่อตั้ง MB&F จึงออกมาอธิบายถึงโปรเจ็คท์นี้ผ่านวิดีโอสั้นๆ ว่า “นี่ไม่ใช่แบรนด์ใหม่ เป็นการผลิตเพียงครั้งเดียว แต่ได้รับฟังความคิดเห็นของทุกคนอยู่ ขอเวลาสักครู่ที่จะตัดสินใจและทำสิ่งนั้นสำหรับทุกคน” แทนที่จะให้ผู้คนมาต่อคิวหน้าบูติค แต่ MB&F เลือกใช้ระบบจับฉลากอย่างเที่ยงธรรม ซึ่งก็ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยหลังจากการเปิดตัว M.A.D. 1 Blue รุ่นแรกแล้ว ก็มีการนำเสนอรุ่นต่างๆ ตามมา ได้แก่ สีแดง สีเขียว และยังมีการร่วมมือกัน

 

Screenshot 2568 12 13 at 23.17.16

 

กับ Jean-Charles de Castelbajac ในโปรเจ็คท์ ‘Time to Love’ จนต่อมากับนาฬิการุ่นM.A.D. 1S ที่เพรียวบางและเรียบหรู ที่ทำงานด้วยกลไกจากสวิส รวมถึงความร่วมมืออีกครั้งในชื่อ ‘Grow Your Dreams’ กับ Yinka Ilori ที่แฟนๆ หลายพันคนได้ลงทะเบียนเข้าร่วมในแต่ละรอบของการจับฉลาก ซึ่งในช่วงเวลานั้น M.A.D. Editions ก็ยังคว้ารางวัลจากGrand Prix d’Horlogerie de Genève (GPHG) มาได้ถึงสองรางวัลทั้ง M.A.D. 1 Red ที่คว้ารางวัล Challenge Prize ในปี 2022 สำหรับนาฬิกาที่มีราคาต่ำกว่า 3,500 สวิสฟรังก์

 

Screenshot 2568 12 13 at 23.12.09

 

และ M.A.D. 2 ที่ได้รับรางวัล Petite Aiguille ในปี 2025 นี้สำหรับนาฬิกาที่มีราคาระหว่าง 3,000 ถึง 10,000 สวิสฟรังก์ ที่ในขณะนี้ M.A.D. Editions เดินทางมาถึงช่วงของนาฬิการุ่น M.A.D. 2 ‘World Tour’ Edition ตามแบบของรุ่น M.A.D. 2 ที่เปิดตัวเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยได้รับการออกแบบโดยเพื่อน และดีไซเนอร์ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี Eric Giroud จากแรงบันดาลใจของวัฒนธรรมคลับและดีเจจากยุค 90s โดยมีรุ่นหน้าปัดสีส้มที่สร้างขึ้นเฉพาะสำหรับสมาชิก The Tribe และเพื่อนๆ ส่วนรุ่นหน้าปัดสีเขียวกับการจับฉลาก

 

Screenshot 2568 12 13 at 23.10.14

 

ซึ่งการเปิดตัวครั้งนี้จะมาในโทนหน้าปัดสีฟ้า ในนามของสมาชิกใหม่กับชื่อรุ่น M.A.D. 2 ‘World Tour’ ซึ่งจากตามชื่อที่ระบุไว้ M.A.D. 2 World Tour นี้จะวางจำหน่ายผ่านทางตัวแทนจำหน่าย MB&F ทั่วโลกในแบบจำนวนจำกัด และอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของตัวแทนจำหน่ายแต่ละราย โดยนาฬิการุ่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฉลองครบรอบ 20 ปีของ MB&F และยังเป็นการยกย่องบทบาทสำคัญ ของตัวแทนจำหน่ายที่มีต่อเครือข่ายของแบรนด์ ในตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาของแบรนด์ และร่วมผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน

 

Screenshot 2568 12 13 at 23.00.57

 

จาก M.A.D. 2 อันเป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นด้วยความสำเร็จ เหนือความคาดหมายของนาฬิการุ่น M.A.D. 1 และยังเป็นเหมือนจดหมายรัก ที่สื่อถึงจิตวิญญาณอิสระของวัฒนธรรมคลับในยุค 90s โดย Eric Giroud และ Maximilian Büsser ผู้ก่อตั้ง MB&F ที่ทั้งคู่ต่างก็มีพื้นเพมาจากโลซานน์ ซึ่งในช่วงยุค 90s ทาง Eric มักใช้เวลาอยู่บนฟลอร์เต้นรำ และเพลิดเพลินไปกับคลับชื่อดังอย่าง MAD (Moulin à Danses) และ Dolce Vita ในโลซานน์ ท่ามกลางนักดนตรี นักแสดง ศิลปิน และดีเจ อันเป็นหน้าปัดย่อยทรงนูนในส่วนกลาง

 

Screenshot 2568 12 13 at 23.18.59

 

ที่เป็นหน้าปัดเพื่อแสดงค่าเวลาชั่วโมงและนาที พร้อมทั้งยังดูเหมือนแผ่นเทิร์นเทเบิลของเครื่องมิกซ์ดีเจ ทั้งร่องและโทนสีของหน้าปัดกลาง ต่างจำลองลักษณะเด่นของแผ่นไวนิล และโดยรอบเป็นแผ่นหมุนที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก แถบของเทิร์นเทเบิลรุ่นยอดนิยม Technics SL-1200 Mark 2 พร้อมเข็มเคลือบสารเรืองแสงซูเปอร์ลูมิโนว่า ที่ให้ทุกการเคลื่อนไหวของข้อมือ ที่จะทำให้แผ่นเริ่มหมุนได้จริง โดยโรเตอร์สำหรับขึ้นลานสู่กลไกอัตโนมัติ จะสามารถมองเห็นได้ทั้งทางด้านหน้า และทางด้านหลังของตัวเรือน

 

Screenshot 2568 12 13 at 23.06.35

 

ในตัวเรือนสตีลและกระจกแซฟไฟร์ขนาด 42 มิลลิเมตร หนา 12.3 มิลลิเมตร ที่มีรูปทรงโค้งมนคล้ายก้อนกรวด พร้อมสัญลักษณ์การแสดงค่าเวลา แบบโลหะที่จัดวางอยู่ตรงกลางหน้าปัด และยังมีเซอร์ไพรส์ด้านกลไกนาฬิกา คือโมดูลจั๊มปิ้งอาวร์แบบหมุนได้สองทิศทาง ที่พัฒนาขึ้นโดยทีมงานของ MB&F พร้อมการทำงานด้วยกลไกจาก LA JOUX-PERRET คาลิเบอร์ G101 ที่ทำงานด้วยความถี่ 28,800 รอบต่อชั่วโมงหรือ 4 เฮริท์ซ และให้พลังสำรองลานได้นาน 64 ชั่วโมง พร้อมความสามารถในการกันน้ำระดับ 30 เมตร

 

Screenshot 2568 12 13 at 23.18.15

 

หรือ 3 ATM (90 ฟุต) โดยกระจกแซฟไฟร์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ต่างผ่านการเคลือบสารกันแสงสะท้อนที่ด้านใน โดยจะใช้งานคู่กันกับสายหนังและชุดล็อคสาย โดยมีชุดล็อคแบบบานพับที่ผลิตขึ้นจากวัสดุสตีลเช่นกัน กับราคาจำหน่ายผ่านทางตัวแทนอย่างเป็นทางการในประเทศไทย PMT The Hour Glass ที่ 128,000 บาท โดยสามารถติดตามข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่บูติคนาฬิกา LE’ ATELIER ณ ศูนย์การค้าสยามพากอน หรือทางhttps://www.mbandf.com/media-center/machines/madeditions/mad2