HERMÈS Arceau Les folies du ciel
นาฬิกาที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อพร้อมสดุดีแด่เหล่านักบุกเบิก ผู้ซึ่งไม่เคยย่อท้อต่อความเชื่อที่ว่าสักวันหนึ่ง มนุษย์เราจะสามารถโบยบินได้ท่ามกลางเวหา ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางข้ามผืนแผ่นดินและท้องทะเล ที่มนุษย์เพียรพยายามที่จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและบินสูงขึ้นไปอย่างไม่ย่อท้อ จากเครื่องบินลำแรกของโลก ที่ถูกทำให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแต่ยังคงไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว เป็นจุดเริ่มต้นของการนำบอลลูนและเรือเหาะทะยานขึ้นสู่เวหา
และช่วยให้มนุษย์สามารถทลายขีดจำกัดและเป็นอิสระจากแรงโน้มถ่วง เหมือนกับที่ Icarus (อิคารัส) ผู้เป็นตำนานของการสร้างปีกบินรวมทั้งเรือบินที่เคยเป็นเพียงดั่งความฝัน พวกเขาได้มอบซึ่งเส้นทางที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้มาก่อน เช่นเดียวกับการเดินหน้าไปสู่สิ่งที่มนุษยชาติ ยังคงพยายามไล่ตามหาอย่างไม่ลดละ และขณะที่ม้าได้กลายเป็นยานพาหนะ ที่มอบโอกาสแห่งการเดินทางเหนือระยะทาง เรือบินก็ทำหน้าที่เฉกเช่นเดียวกันกับการนำพามาซึ่งความสูงที่เป็นดั่งมิติที่สาม
นาฬิกา HERMÈS รุ่น Arceau Les folies du ciel จึงถือเป็นการผสมผสานความงดงามของภาพวาด งานแกะสลัก และการเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวา สู่การสร้างสรรค์ องค์ประกอบอันมีเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียว ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลวดลายโดดเด่น บนผืนผ้าพันคอไหมที่ออกแบบขึ้นในปี 1984 เพื่อเป็นเกียรติแก่วิทยาศาสตร์และการศึกษาเกี่ยวกับอากาศธาตุ โดยถ่ายทอดถึงช่วงเวลาในยุคแรกเริ่ม ระหว่างภาคพื้นดินและอากาศ ระหว่างความฝันและความจริง
ที่ในที่สุดเมื่อมนุษย์สามารถโบยบินได้ จากการผ่านการศึกษาวิจัยมากมายถึง 18 โครงการ นับตั้งแต่การศึกษาที่จริงจังและสำคัญที่สุด ไปจนถึงการศึกษาอันเหนือจินตนาการ ซึ่งล้วนเป็นการศึกษาค้นคว้าที่ได้นำทางมาสู่งานวิจัย ที่ยังคงเดินหน้าต่อมาจนถึงศตวรรษที่ 20 กับความสำเร็จในการประดิษฐ์คิดค้นและพัฒนาบอลลูนลมร้อน ตลอดจนเรือเหาะและเรือบินอากาศอีกมากมาย ที่ต่างแห่แหนล่องลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมทั้งผืนธงที่พลิ้วไสวไปตามสายลม
การหลีกหนี การค้นพบ และการใฝ่รู้ ล้วนหล่อหลอมในหัวใจของการเดินทางที่ถ่ายทอดผ่านผืนผ้าไหม ก่อนที่เครื่องบินจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับการเดินทางข้ามผืนดินและท้องทะเล โดยภาพอันวิจิตรนี้ได้ถ่ายทอดให้เห็นถึงความงดงาม บนหน้าปัดมุกกับพื้นผิวเหลือบสีที่สามารถมองเห็นได้ ผ่านควันอันบางเบาที่ปล่อยออกจากปล่องไฟ รวมถึงภาพของฮ๊อทแอร์บอลลูนสีชมพูนีโอราไลต์ และสีเขียวสองลำที่โบยบินไปตามคลื่นสายลม โดยผืนผ้าใบซึ่งผ่านกระบวนการเผาภายในเตา เพื่อรังสรรค์ความโค้งและมีมิตินูนต่ำ
เสมือนดั่งภาพของลมร้อนที่ค่อยๆ เติมเข้าไปในบอลลูน และพาบอลลูนให้ค่อยๆ ลอยลำ พร้อมที่จะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะที่แต่ละพื้นผิวยังผ่านการขัดเงาด้วยมือ เพื่อมอบซึ่งรัศมีแห่งประกายแสงอันเจิดจรัส ซึ่งบอลลูนทั้งสองลำนี้ ถูกผูกติดกับชิ้นงานรูปทรงเรือกอนโดลาที่ผลิตจากไวท์โกลด์ และวาดด้วยมืออย่างวิจิตรสวยงามในรูปทรงนก อันเป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมของการเดินทางและการย้ายถิ่นฐาน ซึ่งนับเป็นแรงบันดาลใจแรกของมนุษยชาติในการประดิษฐ์เรือบินแห่งอนาคต
ล่องลอยเหนือขึ้นไปบนฉากอันมีชีวิตชีวา ณ ตำแหน่ง 12 นาฬิกา คือบอลลูนซึ่งวาดขึ้นด้วยมือและนำมาติดบนหน้าปัด ผ่านการออกแบบอย่างสมดุล และสามารถหมุนอยู่บนแกนในจังหวะเดียวกัน กับการเคลื่อนไหวของข้อมือผู้สวมใส่เพื่อแสดงถึงความเบา และมอบซึ่งสัมผัสอันเหนือจินตนาการ ที่เป็นดั่งต้นตำรับในผลงานสร้างสรรค์ของแบรนด์ ในขณะที่คำว่า «Hermès Paris» นั้นจะประทับนูนเสมือนดั่งลายเซ็นต์ลับที่ตั้งใจสงวนไว้ให้แต่ละนักเดินทางทั้งหมด 24 คน ผู้ซึ่งได้ครอบครองเรือนเวลาในซีรีส์จำนวนจำกัดนี้
นาฬิการุ่น Arceau Les folies du ciel ผลิตขึ้นในแบบจำนวนจำกัด 24 เรือน พร้อมหมายเลขกำกับในแต่ละเรือน ทำงานด้วยกลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัติคาลิเบอร์ H1837 ทำงานด้วยความถี่ 28,800 รอบต่อชั่วโมง ให้พลังสำรองลาน 50 ชั่วโมง แสดงเวลาชั่วโมงและนาที พร้อมการตกแต่งฐานกลไกลายเซอร์กูล่าร์เกรน และลายก้นหอย กับสะพานจักรและโรเตอร์ ที่ขัดแต่งแบบลายซาติน และลวดลายสัญลักษณ์ตัว “H” ในตัวเรือนไวท์โกลด์ขนาด 38 มิลลิเมตร กรุกระจกแซฟไฟร์ที่เคลือบสารกันแสงสะท้อนทั้งด้านหน้าและหลัง