Hortus Deliciarum คอลเลคชั่นเครื่องประดับชั้นสูงจาก GUCCI
การพบกันครั้งใหม่กับโลกแห่งเครื่องประดับจาก GUCCI นี้ได้รวบรวมเอาความหลงใหลและความคลั่งไคล้ในจินตนาการเข้าไว้ด้วยกัน อันประกอบด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ธีมด้วยกัน กับสไตล์จากช่วงกลางศตวรรษที่ 19 และต่อเนื่องไปจนถึงยุค 70s ซึ่งการเดินทางที่น่าอัศจรรย์นี้ ได้ถูกหยุดเอาไว้และในขณะเดียวกันก็ได้สร้าง“ความทรงจำของความทรงจำ” ครั้งพิเศษนี้ขึ้นมา
เครื่องประดับที่ผ่านการออกแบบมานี้ สะท้อนถึงคุณค่าทางจริยธรรมและความสวยงาม โดยนำเอาวัฒนธรรมที่แตกต่างมารวมกัน และฟื้นคืนความงดงามของสิ่งหายากที่มีอยู่ควบคู่กันไปโดยชิ้นงานเหล่านี้เป็นผลผลิตจากประสบการณ์ และการเดินทางอันยาวนานที่ทั้งกลั่นกรองและรวมการนำอดีตในรูปแบบต่างๆ มาไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นคอลเลคชั่นเครื่องประดับชั้นสูงอันมีคุณค่าที่สัมผัสได้อย่างแท้จริง
Alessandro Michele เริ่มต้นด้วยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ในช่วงศตวรรษที่19 จนกลายเป็นผลงานสร้างสรรค์ เครื่องประดับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมา ตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญด้านงานฝีมือ และความสามารถในการสร้างสรรค์ บนเส้นทางในจินตนาการที่เหมือนฝัน ดังเช่นการใช้เทคนิคไมโครโมเสกขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนสู่ภาพทิวทัศน์ของโรมัน
ไปถึงอัญมณีล้ำค่าที่มีสีสันสดใสที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความหลากหลายด้านการสร้างสรรค์จาก “ความอยากรู้อยากเห็นในความรู้” แบบเดียวกันนี้ ไปจนถึงสีสันของอัญมณีมากมาย ตั้งแต่ มรกต อะความารีน รูเบลไลต์ สปิเนล มอร์แกนไนต์ และอเมทิสต์ ที่เป็นดั่งโลกแห่งเทพนิยาย ซึ่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ผู้นี้ ได้ดำดึ่งเข้าไปในเจตจำนงของผู้ที่อยากรู้จักและเข้าใจโลก
นี่คือเหตุผลที่คอลเลคชั่นที่สามของ GUCCI Hortus Deliciarum นำเสนอตัวเองเป็นห้าบทในการหยั่งรู้ของบันทึกการเดินทาง หน้าหนังสือที่เขียนด้วยมือกลายเป็นแผนที่แห่งความทรงจำ ผ่านการก่อตัวขึ้นของ “ของที่ระลึกในรูปแบบของเครื่องประดับ” และบางทีอาจมีความทรงจำมากมายในนั้น เพื่อช่วยให้วิสัยทัศน์ที่พิเศษนี้ ก่อตัวเป็นตำนานและธีมที่น่าอัศจรรย์
หนึ่งในธีมของคอลเลคชั่นชุดนี้ พัฒนามาจากแนวคิดของการเดินทางที่ไม่มีกำหนด ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา จากการที่บรรดาขุนนางและปัญญาชนชาวยุโรปได้เดินทางผ่านทวีปยุโรป โดยมีจุดหมายปลายทางหลักคือประเทศอิตาลี ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์การหลบหนี รวมทั้งกลายเป็นโอกาสสำหรับการเรียนรู้ในองค์ความรู้ใหม่ ดังนั้นการเดินทางจึงมักครอบคลุมเรื่องราวหลากหลายของยุโรป
ในขณะที่โรมถือเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้าย เช่นเดียวกับในวรรณกรรมอันล้ำค่าของ Johann Wolfgang von Goethe ที่ชื่อ Italian Journey ซึ่งระบุไว้ว่าโรมถือเป็นจุดสูงสุดของ ‘Erasmus year’ ซึ่งเห็นได้จากชุดเครื่องประดับไมโครโมเสก ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สร้างขึ้นระหว่างปี 1850 ถึงปี 1870 ที่เป็นการนำเอาธรรมชาติอันล้ำค่า ของตัวผลิตภัณฑ์และภาพทิวทัศน์ของโรมมาสู่ผนวกเข้าไว้
โดยแสดงให้เห็นถึงโคลอสเซียม จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ กับแนวเสาหินของเบอร์นินี่ รวมทั้งวิหารแพนธีออนในสมัยศตวรรษที่ 19 ที่มีทั้งจัตุรัสโรมัน เทวสถานเวสตา วิหารเฮอร์คิวลิสในโครี น้ำตกที่ทิโวลี และพีระมิดแห่งเซสทิอุส โดย Alessandro Michele ได้จับภาพความมหัศจรรย์และความปรารถนา ในความงดงามสมัยโบราณผ่านทางจี้เหล่านี้ ผ่านการฝังลงไปในสร้อยคอ กำไล ต่างหู และเข็มกลัด
นอกจากนี้ยังมีธีมที่ใช้แนวคิดเกี่ยวกับความสวยงามของภาพลานตา ซึ่งถูกนำมาจากหน้าหนังสือท่องเที่ยวในจินตนาการ ที่เริ่มต้นจากกรุงโรมและเดินทางไปไกลถึงประเทศอินเดีย ระหว่างความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบผสมผสาน ของพระราชวังและธรรมชาติอันเขียวชอุ่มในสวนต่างๆ ตลอดจนผ้าไหมหลากสีของเครื่องแต่งกายชาวมองโกล และบรรยากาศขององค์เทพเจ้า
ทั้งหมดนี้คือที่ที่สายตาของนักเดินทางถูกมนตร์สะกดโดย ‘อัญมณีสีแดงแห่งแสง’ ได้แก่ รูเบลไลต์ อิมพีเรียลโทแพซ เบริลสีเหลือง ทัวร์มาลีน และโกเมน ซึ่งเต็มไปด้วยเวทมนตร์ของรุ่งอรุณในมิติ ที่ถูกหยุดไว้ ด้วยการเล่าเรื่องในแบบของ Michele ผ่านรูปแบบของแหวนเพชรเม็ดเดี่ยว ที่ประดับด้วยอัญมณีรูปทรงหยดน้ำหรือรูปทรงหัวใจ สร้อยคอที่ประดับด้วยอัญมณีหลากสี และกำไลที่ตกแต่งด้วยทองคำหนวกกับเพชร
รวมทั้งไข่มุกที่เป็นรากฐานของธีมที่สามที่ Alessandro Michele ได้ถ่ายทอดความหมายที่ชวนให้นึกถึงที่อยู่เบื้องหลังวิธีการทำงานของเขาสำหรับ GUCCI ผ่านตำนานของกรีก ที่ว่าไข่มุกเกิดจากฟองของทะเล และแข็งตัวขึ้นบนผิวของ Aphrodite อันเป็น ‘อันดับหนึ่งในบรรดาสิ่งล้ำค่า’ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่า Pliny โดยไข่มุกยังเป็นของขวัญที่วิเศษที่สุด ที่ซีซาร์มอบให้แก่คลีโอพัตรา
ดังนั้นด้วยสัญลักษณ์อันยอดเยี่ยมของความเป็นผู้หญิงและความลึกลับนี้ ไข่มุกได้นำทางนักเดินทางไปยังจุดที่ตะวันออกมาบรรจบกับตะวันตก รอบๆ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และโพลินีเซีย ที่ซึ่งไข่มุกที่ถือเป็นความงามตามธรรมชาติ ที่อัดแน่นไปด้วยความลึกลับที่ยังไม่ถูกเฉลย ได้ผสมผสานประเพณีตะวันออกและตะวันตก เข้ากับการอ้างอิงทางประวัติศาสตร์และรูปภาพมากมาย
ที่ซึ่งหยาดน้ำแห่งมหาสมุทรบนเรือนร่างของ Aphrodite ยังคงถูกพบเห็นได้ในภาพวาด Birth of Venus ของ Botticelli และบนสร้อยคอในภาพวาดของควีนเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ นอกจากนี้ ไข่มุกสีขาว สีครีม และสีดำ ยังถูกนำมาผสมผสานกับอิมพีเรียลโทแพซ เพื่อทำเป็นสร้อยคอที่เข้าคู่กับต่างหูและเข็มกลัด ขณะที่ตัวจี้อิมพีเรียลโทแพซแบบถอดได้ ก็สามารถถอดมาสับเปลี่ยนกับทัวร์มาลีนหลากสีและเพชรได้อีกด้วย
ในบันทึกการเดินทางในจินตนาการนี้ ยังมีหน้าหนังสือที่อุทิศให้กับโลกใหม่แห่งช่วงทศวรรษ 1930 และ 1940 ที่ความทันสมัยมีอยู่ทั่วไปหมด เช่นเดียวกับตึกสูงมากมายที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ Alessandro Michele ได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโดยการสร้างสรรค์สร้อยคอและกำไลที่มีรูปทรงเรขาคณิต ในสายโซ่แบบอสมมาตรและยืดหยุ่นได้ พร้อมด้วยการตกแต่งโครงสร้างที่พิถีพิถัน
ซึ่งแต่งแต้มด้วยอัญมณีขนาดใหญ่ พร้อมสายโซ่ที่ยืดหยุ่นที่ถูกประดับด้วยอเมทิสต์ อะความารีน และเบริลสีน้ำเงินเทารูปทรงคุชชั่น ซึ่งถอดแบบความงดงามจากต่างหู หรือจี้ที่ประดับอยู่ท่ามกลางเพชรรูปทรงบาแกตต์ นี่คือการสร้างสรรค์ทางนวัตกรรม ในขณะที่โลกต่างๆ ได้ถูกนำมารวมกันและมอบชีวิตให้กับวัตถุต่างๆ มากมายที่ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหล่านี้
สุดท้ายคือในช่วงทศวรรษ 1970 ที่เป็นยุคของวัฒนธรรมป๊อป การแสดงออกอย่างอิสระ ความปรารถนาที่จะค้นพบโลกภายนอก และทัศนคติที่ยกย่องโลกที่ห่างไกลและลึกลับ กับสร้อยคอสายโซ่ไวท์โกลด์ พร้อมเพชรที่ประดับในมรกตรูปทรงหกเหลี่ยม ทัวร์มาลีนสีเขียวรูปทรงหยดน้ำ และอะความารีนที่ประดับในกรอบเคลือบสีเขียว ซึ่งล้อมรอบด้วยเพชรรูปทรงบาแกตต์