ครั้งแรกของ GRAND SEIKO กับวัสดุเอเวอร์-บริลเลียนท์สตีล
เป็นเวลากว่า 60 ปีมาแล้วที่ความก้าวหน้าของพื้นฐานด้านการประดิษฐ์เรือนเวลา พร้อมความแม่นยำ ความทนทาน และความงดงามเป็นสิ่งที่ GRAND SEIKO ให้ความสำคัญเป็นที่สุดมาโดยตลอด และกลไกแบบสปริงไดร์ฟคาลิเบอร์ 9RA5 และกลไกแบบไฮ-บีทที่ทำงานในความถี่ที่สูงถึง 36,000 รอบต่อชั่วโมง คาลิเบอร์ 9SA5 ที่เปิดตัวในปี 2020 ก็คือความก้าวหน้าครั้งสำคัญของ GRAND SEIKO ในด้านความแม่นยำและประสิทธิภาพในองค์รวม ส่วนกลไกแบบสปริงไดร์ฟคาลิเบอร์ใหม่ 9RA2 ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2021 นั้นก็มีคุณสมบัติและคุณลักษณะในระดับสูงเช่นเดียวกับคาลิเบอร์ 9RA5 แต่ทำการย้ายตำแหน่งแสดงพลังสำรองลาน ไปไว้บนฝั่งด้านหลังของชุดกลไก พร้อมการลดระดับความสูงของเข็มที่อยู่เหนือระนาบหน้าปัดลง ซึ่งทำให้สามารถสร้างตัวเรือนที่มีขนาดเพรียวบางยิ่งขึ้นได้
วันนี้ GRAND SEIKO ขอนำเสนอเรือนเวลา 2 รุ่นที่บรรจุกลไกคาลิเบอร์ 9SA5 และ 9RA2 ไว้ในตัวเรือนที่ผลิตขึ้นจากเอเวอร์-บริลเลียนท์สตีล (Ever-Brilliant Steel) อันเป็นชนิดวัสดุสตีลที่มีระดับความต้านทานการกัดกร่อนที่สูงกว่า ซึ่งทำให้เกิดความทนทานสูงกว่าชนิดสตีลที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในนาฬิกายุคปัจจุบัน ทั้งยังมีผิวขาวเจิดจ้าที่ช่วยเสริมความงดงามให้กับนาฬิกา ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งกับลักษณะดีไซน์แบบ ‘Grand Seiko Style’ ที่กำหนดขึ้นในปี 1967 ซึ่งมีอายุครบรอบ 55 ปีในปี 2022 นี้ พร้อมเรือนเวลา 2 รุ่นใหม่ก็ต่างก็ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อร่วมฉลองวาระครบรอบหลักการสำคัญในปีนี้ โดยสตีลชนิดนี้มีค่า ‘PREN’ (Pitting Resistance Equivalent Number) หรือค่าความต้านทานต่อการเกิดการกัดกร่อนแบบจุดเทียบเท่า สูงกว่าเกรดของสตีลที่ใช้กับเรือนเวลาระดับไฮ-เอนด์โดยส่วนใหญ่ถึง 1.7 เท่า โดย PREN เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายในการวัดค่าความต้านทานการกัดกร่อน
โดยกลไกอินเฮ้าส์คาลิเบอร์ 9SA5 และ 9RA2 นี้ถือเป็นความก้าวหน้าขั้นสุดแห่งศาสตร์เครื่องบอกเวลาจาก GRAND SEIKO ซึ่งทั้ง 2 คาลิเบอร์ต่างก็มอบความพิเศษในแง่ประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งเกิดขึ้นได้จากบรรดานวัตกรรมต่างๆ ที่มีเพียงผู้ผลิตที่มีความเพียบพร้อมในทุกสาขาเท่านั้นที่จะสามารถสร้างขึ้นได้ โดยกลไกแบบไฮ-บีทคาลิเบอร์ 9SA5 จะมอบพลังสำรองลานที่ยาวนานถึง 80 ชั่วโมงในขณะที่กลไกแบบสปริงไดร์ฟคาลิเบอร์ 9RA2 จะมอบพลังสำรองลานได้นานถึง 120 ชั่วโมงและให้อัตราความแม่นยำถึง +/-10 วินาทีต่อเดือน นอกจากนี้กลไกทั้ง 2 คาลิเบอร์ยังมีขนาดบางกว่ากลไกคาลิเบอร์ที่มีใช้กันอยู่ก่อนหน้า ซึ่งทำให้มีตัวเรือนในขนาดเพรียวบางยิ่งขึ้นตามรูปแบบ Grand Seiko Style ที่สถาปนาขึ้นโดยนาฬิการุ่น 44GS อันเลื่องชื่อได้
พร้อมหน้าปัดที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากดวงดาว กับทุกรายละเอียดของหน้าปัดที่ถูกออกแบบมา เพื่อความชัดเจนและทำให้สามารถอ่านค่าเวลาได้อย่างรวดเร็ว โดยเรือนเวลาทั้ง 2 รุ่นจะใช้ดีไซน์หน้าปัดรูปแบบเดียวกัน พร้อมมิติลวดลายอันล้ำลึกบนพื้นผิวของหน้าปัด ที่ดึงดูดสายตาและเชิญชวนให้จินตนาการถึงท้องฟ้าในยามค่ำคืน โดยรูปแบบลายสลักร่องลึกจะมีลักษณะคล้ายวงโคจรแบบวงรี ของดวงดาวขณะเคลื่อนตำแหน่งบนฟากฟ้า พร้อมขอบอันคมชัดของเข็มชั่วโมงและเข็มนาที ที่มอบความแตกต่างอย่างลงตัวกับแนวโค้งอันนุ่มนวลของลายบนหน้าปัด โดยการเคลื่อนตัวของเข็มวินาทีสีทองที่มีแนวยาวจนเกือบสุดขอบของหน้าปัด สร้างความรู้สึกดุจกาลเวลาที่ข้ามผ่านฟากฟ้าอย่างเงียบสงบ และหน้าปัดของนาฬิกาในเวอร์ชั่นแบบกลไกไฮ-บีท จะมอบความงามสง่าด้วยสีน้ำเงิน ในขณะที่นาฬิกาในเวอร์ชั่นแบบกลไกสปริงไดร์ฟ จะมอบความงามสุขุมด้วยสีเทาเข้ม
นอกจากนี้ยังมีการขัดแต่งลวดลายบนบริจด์ ที่สามารถมองเห็นได้ผ่านทางฝาหลังที่กรุกระจกแซฟไฟร์ อันได้รับแรงบันดาลใจมาจากความสมบูรณ์ของธรรมชาติที่รายล้อมสตูดิโอผลิตนาฬิกาทั้ง 2 แห่ง ทั้งการตกแต่งแบบแม่น้ำ (Shizukuishi River) และการตกแต่งแบบน้ำค้างแข็ง (Shinshu Fros) โดยมีขนาดตัวเรือนที่ 40 มิลลิเมตร ความหนา 12.1 มิลลิเมตร สำหรับนาฬิกา Ref. SLGA013 และความหนา 11.7 มิลลิเมตร สำหรับนาฬิกา Ref. SLGH009 พร้อมราคาจำหน่ายในประเทศไทยที่ 382,300 บาท และ 345,800 บาท ตามลำดับ โดยเรือนเวลาทั้ง 2 รุ่นจะผลิตในแบบจำนวนจำกัดเพียงรุ่นละ 550 เรือน และจะมีจำหน่ายที่บูติคของนาฬิกา GRAND SEIKO ร่วมกันกับร้านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการเลือกสรรทั่วโลกในเดือนกุมภาพันธ์ 2022