นาฬิกาสปอร์ตสองรุ่นจาก GRAND SEIKO สัญลักษณ์ความงามในฤดูหนาวแห่งชินชู
จากปี 2002 ที่ผู้คนได้เห็นการสร้างสรรค์นาฬิกากลไกสปริงไดร์ฟจีเอ็มทีเรือนแรกของ GRAND SEIKO และในอีก 5 ปีต่อมากับนาฬิกากลไกสปริงไดร์ฟโครโนกราฟเรือนแรกก็เปิดตัวสู่ตลาดตามมา ซึ่งพัฒนาการด้านเทคนิคของกลไกทั้งสองฟังก์ชั่นนี้ได้รับการตอบรับจากตลาดในทันที และนับแต่นั้นมาทั้งสองฟังก์ชั่นนี้ก็ได้รับการนำเสนอผ่านการสร้างสรรค์ของ GRAND SEIKO ในอีกหลากหลายสไตล์ที่แตกต่างกัน จนมาถึงวันนี้ที่นาฬิกากลไกสปริงไดร์ฟรุ่นผลิตจำนวนจำกัดสองรุ่นใหม่ ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อฉลองวาระครบรอบ 20 ปีของนาฬิกา GRAND SEIKO ฟังก์ชั่นจีเอ็มที พร้อมวาระครบรอบ 15 ปีของนาฬิกาโครโนกราฟเรือนแรกของแบรนด์ โดยผลงานทั้งสองรุ่นใหม่จะถือเป็นส่วนหนึ่งของ GRAND SEIKO Sport Collection โดยมีพื้นหน้าปัดของนาฬิกาทั้งสองเรือนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพความงามของทิวทัศน์หิมะ ในฤดูหนาวบนภูเขาที่โอบล้อมสตูดิโอซึ่งตั้งอยู่ในเมืองชินชูแถบตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น ที่ซึ่งนาฬิกาทั้งสองรุ่นได้รับการรังสรรค์ขึ้น
จากแนวคิดในการรังสรรค์นาฬิกาที่มีความแข็งแรงและทนทานไม่ต่างจากภูเขาโฮดากะ (Hodaka) ที่ช่างนาฬิกาของ GRAND SEIKO สามารถมองเห็นได้จากชินชูวอทช์สตูดิโอ โดยมีตัวเรือนและสายของนาฬิการุ่นจีเอ็มทีที่ผลิตจากสตีล ในขณะที่รุ่นจีเอ็มทีโครโนกราฟจะผลิตจากไทเทเนียมที่มีความหนาแน่นสูง (High Intensity Titanium) ที่สามารถขัดขึ้นเงาได้สวยงามราวกับสตีล พร้อมพื้นหน้าปัดที่ได้แรงบันดาลใจจากพื้นผิวหิมะที่ไม่สม่ำเสมอ อันเกิดขึ้นเมื่อลมแรงพัดผ่านและสร้างลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์บนพื้นที่ๆ ปกคลุมด้วยหิมะ ซึ่งสามารถมองเห็นได้บนภูเขาสูงในช่วงปลายฤดูหนาวและต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยเน้นโทนสีน้ำเงินให้กับพื้นหน้าปัดของนาฬิกาทั้งสองรุ่น เพื่อสะท้อนถึงสีฟ้าอันสดใสของท้องฟ้าในช่วงฤดูหนาวของชินชู
นาฬิกาทั้ง 2 รุ่นทำงานด้วยกลไกสปริงไดร์ฟที่ผ่านการปรับแต่งมาเป็นพิเศษ เพื่อมอบอัตราความเที่ยงตรงในระดับ +/- 10 วินาทีต่อเดือน หรือ 0.5 วินาทีต่อวัน พร้อมฝาหลังแบบโปร่งใสกับขอบฝาหลังในแบบขันเกลียวเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน โดยยังสามารถมองเห็นสัญลักษณ์สิงโตของ GRAND SEIKO ที่ผลิตจากทองคำ ประดับบนโรเตอร์ อันเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความแม่นยำและเที่ยงตรงระดับสูง โดยนาฬิกาในรุ่นกลไกสปริงไดร์ฟโครโนกราฟ ถือเป็นหนึ่งในกลไกที่ทำงานด้วยสปริงลานที่มีความแม่นยำที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย พร้อมความสามารถในการจับเวลาได้อย่างยาวนานต่อเนื่องสูงสุด 12 ชั่วโมง และยังมีความเที่ยงตรงแม่นยำระดับถึงระดับ ±0.5 วินาทีต่อวัน ซึ่งต้องขอบคุณชุดควบคุมความเที่ยงตรง (Regulator System) ของกลไกสปริงไดร์ฟ ที่ช่วยให้เกิดความเที่ยงตรงของชุดกลไกในระดับสูงแม้จะเหลือพลังสำรองลานที่ต่ำ และที่สำคัญไม่แพ้กันคือความสามารถในการจับเวลา ที่ไม่ใช่การวัดจากเศษเสี้ยวของวินาทีที่ใกล้ที่สุด แต่เป็นการวัดค่าอย่างแม่นยำสูงสุด โดยเข็มวินาทีที่กำลังเคลื่อนที่อย่างราบรื่นแบบไกลด์โมชั่น จะหยุดในทันทีที่กดปุ่มหยุดการจับเวลา ไม่ใช่แค่หยุดในตำแหน่งที่ใกล้เคียงเท่านั้น
ส่วนนาฬิการุ่นกลไกสปริงไดร์ฟจีเอ็มที จะเป็นนาฬิกาเพื่อนักเดินทางที่สมบูรณ์แบบ จากความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใครของเทคโนโลยีสปริงไดร์ฟจาก GRAND SEIKO ที่ช่วยทำให้เข็มวินาทีเคลื่อนผ่านบนพื้นหน้าปัดอย่างเงียบและเรียบลื่นปราศจากการสะดุด สะท้อนถึงการไหลของเวลาอย่างเป็นธรรมชาติและต่อเนื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ ให้พลังสำรองลานนานถึง 72 ชั่วโมงเมื่อขึ้นลานจนเต็ม และแสดงให้เห็นผ่านมาตรวัดพลังสำรองลานที่อยู่ถัดจากตำแหน่ง 8 นาฬิกา โดยเข็มแสดงเวลาจีเอ็มทีจะแสดงเวลาที่ 2 ร่วมกับสเกล 24 ชั่วโมงที่อยู่บนพื้นหน้าปัด และสามารถแสดงเวลาที่ 3 ได้เมื่อทำงานร่วมกับสเกล 24 ชั่วโมงที่อยู่บนขอบเบเซิล โดยเข็มชั่วโมงของชุดกลไก จะสามารถปรับการทำงานเพื่อตั้งเวลาได้โดยที่ไม่สูญเสียความเที่ยงตรงหรือความแม่นยำ
นาฬิกา GRAND SEIKO Sport Collection Spring Drive GMT 20th Anniversary Limited Edition ทำงานด้วยกลไกสปริงไดร์ฟจีเอ็มทีอินเฮ้าส์คาลิเบอร์ 9R16 พร้อมความสามารถในการกันน้ำระดับ 20 บาร์ และกันสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในระดับ 4,800 A/m ตัวเรือนและสายผลิตจากสตีล โดยมีขนาด 44 มิลลิเมตร หนา 14.9 มิลลิเมตร กรุกระจกแซฟไฟร์ทรงโค้งคู่เคลือบสารกันแสงสะท้อน และฝาหลังแบบขันเกลียวกรุกระจกแซฟไฟร์โปร่งใส โดยมีเม็ดมะยมแบบขันเกลียวแน่นช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน ส่วนนาฬิกา GRAND SEIKO Sport Collection Spring Drive Chronograph GMT 15th Anniversary Limited Edition ทำงานด้วยกลไกสปริงไดร์ฟโครโนกราฟจีเอ็มทีอินเฮ้าส์คาลิเบอร์ 9R96 พร้อมความสามารถในการกันน้ำที่ระดับ 10 บาร์ และกันสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในระดับ 4,800 A/m ตัวเรือนและสายผลิตจากไทเทเนียมความหนาแน่นสูง ในขนาด 43.5 มิลลิเมตร หนา 16.1 มิลลิเมตร กรุกระจกแซฟไฟร์ทรงโค้งคู่เคลือบสารกันแสงสะท้อน และฝาหลังแบบขันเกลียวกรุกระจกแซฟไฟร์โปร่งใส โดยมีเม็ดมะยมแบบขันเกลียวแน่นช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้งานเช่นเดียวกัน
โดยนาฬิการุ่นกลไกสปริงไดร์ฟจีเอ็มทีนี้จะผลิตในแบบจำนวนจำกัดจำนวนเพียง 1,500 เรือน และจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 เป็นต้นไปที่บูติคของนาฬิกา GRAND SEIKO และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการคัดเลือกทั่วโลกในราคาจำหน่ายที่ประเทศไทย280,300 บาท ในขณะที่นาฬิการุ่นกลไกสปริงโดร์ฟโครโนกราฟจีเอ็มที จะผลิตในแบบจำนวนจำกัดเช่นกันในจำนวน 700 เรือน และจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 นี้ที่บูติคของ GRAND SEIKO และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการคัดเลือกทั่วโลกเช่นเดียวกันในราคาจำหน่ายที่ประเทศไทย 422,300 บาท